แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กลอนตำนานรักผาแดง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กลอนตำนานรักผาแดง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๒๐ โดย พี่กิตติธร <จบ>



...ตอนที่ ๒๐


.....รีบตอบสาส์นขานรับสัประยุทธ์
พวกมนุษย์หยามใจจักไปพบ
มีน้ำยาเพียงไรคงได้สบ
กูจะรบกับมันให้ลั่นแดน

แล้วสงครามสัประยุทธ์มนุษย์นาค
ที่มียากก็อุบัติด้วยขัดแค้น
กองกำลังสองฝ่ายไม่ขาดแคลน
พอถึงแดนสมรภูมิก็รุมกัน

ต่างฝ่ายต่างโรมรันผันประชิด
คร่าชีวิตวางวายมลายขันธ์
ต่างฝ่ายต่างวอดวายไปด้วยกัน
สงครามนั้นไม่มีปราณีใคร

เห็นทหารล้มตายไม่วายแค้น
ยิ่งอัดแน่นในอกสุดยกไหว
ศรีสุทโธจึงสั่งด้วยคลั่งใจ
ว่าผู้ใดที่เห็นว่าเป็นคน

จะลูกเล็กเด็กแดงเรี่ยวแรงแย่
หนุ่มหรือแก่อยู่บ้านในหรือไพรสณฑ์
จงล่าล้างทำลายให้วายชนม์
รู้ว่าคนจงอย่าได้ปราณี

พวกทหารนาคน้ำจำแลงร่าง
แปลงเป็นสัตว์ต่างต่างบ้างปักษี
บ้างงูเสือเนื้อปลาบรรดามี
ซุ่มโจมตีฆ่าเข่นไม่เว้นวัน

ทั้งทลายบ้านล่มทั้งจมเรือ
ผู้คนตายเป็นเบือไม่เหลือขันธ์
จะเกี่ยวข้องหรือไม่ไล่ประจัญ
มนุษย์สิ้นชีวันกันมากมาย

ฝ่ายทหารผาแดงก็แผลงฤทธิ์
ล่าอมิตรหมู่นาคกันหลากหลาย
ด้วยเวทมนต์เข้มขลังพลังกาย
แม้กุ้งหอยพลอยตายวายชีวี

ชื่อว่าสัตว์ดิรัจฉานทหารเห็น
จะต้องเข่นฆ่าไวมิให้หนี
เพราะอาจปลอมแปลงมาจากนาคี
หลากชีวีดาวดิ้นต้องสิ้นใจ

ทั้งปักษีหมีลิงกระทิงเสือ
ตายเป็นเบือน่าสยองมองทางไหน
ทั้งมนุษย์ดิรัจฉานต่างบรรลัย
ศพเกลื่อนไปทั่วหล้าพนาวัน

☼.....จะกล่าวถึงอินทรามหาราช
ผู้ทรงอาสน์สถิตในไอศวรรย์
ผู้ทรงวชิราเอราวัณ
พระอาสน์พลันร้อนเร่าดั่งเผาไฟ


จึงส่องทิพพเนตรดูเหตุการณ์
พระทรงญาณรู้พลันทันสมัย
เห็นมนุษย์กับนาคอยากเอาชัย
ต่างพากันบรรลัยในโลกา

แม้ไม่ทำอย่างไรในครานี้
หลากชีวีจะสิ้นวงศ์เผ่าพงศา
จะต้องไปกำหนดกฎมาตรา
จอมเทวาลงมาบัญชาการ

ประกาศิตเทวาให้มาพบ
จงพักรบนาคมนุษย์หยุดเผาผลาญ
เกิดอะไรกันหนาเจ้าบาดาล
ทั้งผาแดงจงขานวานบอกที

ทั้งสองฝ่ายโต้กันว่าท่านผิด
ทั้งสองฤทธิ์ไม่ยอมอวยด้วยศักดิ์ศรี
ต่างเถียงกันใหญ่โตโต้วาที
จึงทรงมีเทวาบัญชาพลัน

พวกเจ้าจงกระทำสามข้อนี้
ตามวจีบัญชาอย่าเหหัน
ในข้อหนึ่งให้สองฝ่ายทำลายกัน
ตามที่มั่นหมายมาล่าชีวิต

จนกว่าใครแพ้ชนะจะได้รู้
ให้ทั้งคู่ผาดแผลงด้วยแรงฤทธิ์
แต่ห้ามใช้ไฟเผาเอาชีวิต
ทั้งพ่นพิษพ่นไฟอย่าได้ทำ

ส่วนมนุษย์ต้องเห็นเป็นนาคา
จึงค่อยพร่าผลาญไปให้ใจหนำ
สัตว์อื่นอย่าปลิดปลงจงจดจำ
ข้อสองนางไอ่คำข้านำไป

อยู่เป็นกลางกับโกสินทร์ปิ่นนภา
อยู่เป็นข้าพระศจีเทวีไซร้
เมื่อผลแพ้ชนะกันในวันใด
ผู้มีชัยจักได้นางไอ่คำ

ส่วนข้อสามแม้นหากนาคมีชัย
จักยกหนองหานให้อยู่ในน้ำ
และได้ตัวนวลปรางนางไอ่คำ
ให้จดจำคำอินทร์ด้วยยินดี

แม้นหากว่ามนุษย์ยุทธ์ชนะ
เจ้าต้องละสิทธิ์ครองในหนองนี้
ต้องถมหนองทั้งสิ้นด้วยดินดี
และนารีจะให้ฝ่ายผาแดง

เมื่อประกาศเทวาบัญชาเสร็จ
ทรงเสด็จหายวับไปกับแสง
ต่อจากนี้นาคากับผาแดง
จักต้องแผลงฤทธิรณจนมีชัย

☼.....จนบัดนี้กาลผันนับพันปี
ยังเห็นมีหนองหานอยู่คู่สมัย
ไม่ว่านาคหรือมนุษย์ประยุทธ์ชัย
ต่างบรรลัยด้วยกันเท่านั้นเอง


เมื่อสร้างกรรมผูกเวรไม่เจนจบ
เกิดอีกภพจ่อมจมถูกข่มเหง
แล้วสร้างกรรมต่อไปไม่กลัวเกรง
ไม่รีบเร่งผ่อนกรรมที่ทำมา

อันสัตว์โลกเกิดตายสลายขันธ์
นับชาติกันมิได้กระไรหนา
จึงเบียดเบียนย่ำยีมุ่งบีฑา
ใช้ศาตรามุ่งร้ายทำลายกัน

ขอทุกท่านจงใช้ใจพินิจ
ใช้ความคิดก่อสร้างทางสวรรค์
จงเผื่อแผ่เมตตาปราณีกัน
อันศีลขันธ์มั่นคงให้ตรงดี

วาจาตรงคงมั่นนั่นสัจจะ
อย่าทำลืมเลยละจะหมองศรี
พูดอย่างไรจงทำตามวจี
จะเป็นศรีแก่ปากไม่ยากเย็น

หมั่นตริตรองคลองธรรมตรึกจำแนก
รู้จักแยกขันธ์กองให้มองเห็น
ภาวนาตอกย้ำอย่าลำเค็ญ
ให้มองเห็นอนิจจาทุกนาที

เมื่อมองเห็นอนิจจาว่าไม่เที่ยง
ไม่อาจเกี่ยงให้เที่ยงตรงตามคงชี้
ความแปรเปลี่ยนเวียนมาทุกนาที
ไม่เคยมียั้งหยุดสะดุดเลย

สิ่งไรไรบรรลุที่ผุพัง
ไม่อาจยั้งหยุดไว้ให้นิ่งเฉย
ทุกทุกอย่างสูญสลายไปตามเคย
ไม่อาจเอ่ยเรียกขานให้ผันมา

หากใครยึดอัตตาว่าตัวกู
ของของกูมีไว้ให้รักษา
นั่นคือเหตุความคิดอวิชชา
จึงยึดมั่นมิจฉาอุปาทาน

เมื่อรู้ผิดเห็นผิดก็คิดผิด
ด้วยดวงจิตมุ่งลงในสงสาร
จึงทำผิดพูดผิดเพราะจิตพาล
ท่องวัฏฏะสงสารอีกนานไกล

จงพากันหยุดยั้งทางวิบาก
อันทุกข์ยากยาวนานเกินขานไข
มุ่งเร่งทำกรรมดีจักมีชัย
จักพ้นภัยเวรกรรมที่ทำมา

ปฏิบัติตามองค์พระทรงธรรม
อันเลิศล้ำคำจริงอหิงสา
อริยมรรคแปดองค์ตรงทางมา
พระศาสดาชี้ทางให้สร้างสรรค์

เพื่อหลุดพ้นทางทุกข์ที่ทุกข์แท้
เพื่อเข้าถึงธรรมแน่ไม่แปรผัน
พ้นวิโยคโศกภัยประลัยกัลป์
จักสุขสันต์ตลอดกาลนิพพานเอย.

..........<จบบริบูรณ์>
6/10/54

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๙ โดยพี่ กิตติธร


.....แต่กองทัพนาคน้ำต่างกำหนด
ไม่ละลดล่าอนงค์ผู้ทรงศรี
นางจึงถอดธำมรงค์วงมณี
ในทันทีขว้างปาไม่อาวรณ์

นาคยังคงเกลียวกรูอยู่เช่นเดิม
กำลังเสริมไล่ล่าหน้าสลอน
พสุธาม้าเหยียบเป็นดินดอน
พลันสั่นคลอนลุ่มล่มจมเป็นคลอง

เหยียบตรงไหนได้ล่มถล่มพลัน
นาคโรมรันไล่ล่าม้าผยอง
เจ้าสามวิ่งวนเวียนเพียรตริตรอง
เพื่อหาช่องทางไปให้รวดเร็ว

แต่วิ่งวางทางไหนก็ไม่พ้น
นาคดั้นด้นพันตูทำคูเหว
แผ่นดินจมถล่มร่องเป็นปล่องเปลว
ม้ายังเร็วโลดร่างออกห่างทัน

ผาแดงเห็นนางยังครองกลองชัยศรี
คู่ธานีชทิตามหาขัณฑ์
จึงรีบบอกองค์หญิงโยนทิ้งพลัน
อย่าให้มันหนักม้าอาชาไนย

นางโยนทิ้งทันทีที่ได้ยิน
ไม่ถวิลอาวรณ์ในตอนไหน
แม้เป็นของคู่เมืองเรืองไผท
ไม่หวังได้ยินดีเท่าชีวิต

นางหวาดกลัวตัวสั่นขวัญผวา
กอดรัดผาแดงแน่นไม่แค่นคิด
นาคยังคงตามมากระชั้นชิด
สามชีวิตจดจ่อมรณา

มุ่งเป้าหมายเบื้องหน้าผาสูงชัน
ขึ้นบนนั้นจักรอดปลอดภัยหนา
อยู่ไม่ไกลแล้วหนอต่อสายตา
กัลยาสะอึกอื้นสุดฝืนทน

ผาแดงหันเหลือบจ้องมองคืนหลัง
เห็นดินพังเป็นรางทางสถล
น้ำกระฉอกระลอกคลื่นพื้นวังวน
เชี่ยวสายชลพุ่งปราดประหลาดตาม

ม้าล้มลุกคลุกคลานทะยานกาย
หวิดเกือบตายหลายแล้วเจ้าแก้วสาม
อีกอึดใจจักพ้นทุกข์ที่ลุกลาม
อนิจจาเจ้าสามล้มคว่ำไป

ล้มตัวพาดขวางลำรีบจ้ำลุก
แสนเป็นทุกข์เจ็บเนื้อเหลือไฉน
จังหวะนั้นนาคีพลันมีชัย
ตวัดได้ไอ่นางร่างกระเด็น

อาชางามผาดโผนกระโจนกาย
รีบปีนป่ายขึ้นผาที่ตาเห็น
ผาแดงนั่งหลังม้าน้ำตากระเซ็น
ด้วยหันเห็นไอ่คำตกน้ำไป

เห็นยอดหญิงกลิ้งร่างตกหลังม้า
เอื้อมมือคว้าไม่ทันจิตสั่นไหว
น้ำวนหมุนดูดกายหายวับไป
แล้วทันใดทุกอย่างจืดจางพลัน

ที่เสียงลั่นสนั่นก้องทั่วท้องฟ้า
ทั้งเมฆาคล้ำหมุนอย่างหุนหัน
พระพายพัดฤทธิ์แรงแข่งประชัน
ธรณีนั้นยุบแยกแตกเป็นคลอง

ในบันดลกลับกลายมลายสิ้น
ดังแผ่นดินฟ้าไหนไม่เคยหมอง
ฟ้ากระจ่างแจ่มตาดูน่ามอง
ตะวันส่องทั่วหล้าพนาธาร

☼.....หลงเหลือซากให้ดูเป็นคูคลอง
อีกทั้งหนองหานเห็นเป็นหลักฐาน
เมื่อคืนวันผันเปลี่ยนจำเนียรกาล
ยังหลักฐานให้มีที่รำลึก

ตรงที่นางทิ้งฆ้องทองคำไป
บัดนี้ได้เป็นห้วยช่วยให้นึก
เรียกว่าห้วยน้ำฆ้องคลองไม่ลึก
ให้ได้ตรึกเรื่องเล่าแต่เก่ามา

บ้านน้ำฆ้องตั้งลงที่ตรงนั้น
ให้รู้กันจำไว้ได้ศึกษา
ส่วนตรงที่ธำมรงค์วงโสภา
พระธิดาขว้างลงตรงแผ่นดิน

เกิดกลับกลายให้เห็นเป็นหนองน้ำ
ให้จดจำเรื่องราวเจ้าโฉมฉิน
ชื่อหนองแหวนฝากไว้ให้โลกยิน
ว่าแผ่นดินถิ่นนี้มีตำนาน

ส่วนตรงที่ทิ้งไปกลองชัยศรี
กลับกลายมีลำห้วยช่วยสืบสาน
เรียกลำห้วยกลองศรีชี้ตำนาน
ทั้งหมู่บ้านก็มีใกล้ที่กลอง

ชื่อบ้านห้วยกลองศรีในที่นั้น
ชื่อเดียวกันกับห้วยด้วยทั้งสอง
ส่วนตรงที่อาชาตัวน่ามอง
เคยผยองกลับพลาดล้มฟาดลง

มาบัดนี้มีน้ำเป็นลำคลอง
ไหลลงหนองหานไปไม่ลืมหลง
ชื่อว่าห้วยสามพาดไหลลาดลง
ยังอยู่คงชี้ชัดปัจจุบัน

ส่วนหน้าผาสูงชันตรงนั้นหรือ
บัดนี้คือภูผาแดงดูแข็งขัน
อยู่เทือกเขาภูพานปัจจุบัน
เป็นเขตกั้นอุดรนครดี

กับหนองบัวลำภูคู่จังหวัด
เป็นเขตขัดขวางเมืองที่เรืองศรี
ทั้งเป็นแหล่งสายชลต้นน้ำดี
ห้วยสามพาดก็ไหลรี่จากนี้ไป

☼.....เมื่อนั้น.. ผาแดงผู้แรงฤทธิ์
กรรมลิขิตพ่ายแพ้สุดแก้ไข
เสียไอ่คำอินทร์ถวิลดั่งสิ้นใจ
แปลบหัวใจไห้ร้องก้องดินแดน

เมื่อท้าวเสียยอดหญิงยิ่งชีวิต
จึงได้คิดเบียนเบียดด้วยเคียดแค้น
หวังตามล่านาคินทร์ทุกถิ่นแดน
แม้เมืองแมนจะล่าตามฆ่ามัน

กลับถึงเมืองเรืองยศกำหนดสั่ง
ทุกเวียงวังน้อยใหญ่ในเขตขัณฑ์
จัดกองทัพเต็มอัตราอย่านานวัน
เตรียมไล่ล่าฆ่าฟันให้บรรลัย

ยกพหลโยธากรีธาทัพ
อักโขนับเดินกันสนั่นไหว
กองทัพช้างทัพม้าอาชาไนย
พลรถพลันครรไลไปตามทาง

พลราบนับหมื่นคนด้นเดินเท้า
ขบวนก้าวย่างไปไม่แรมร้าง
ต่างผูกสอดธนูดาบอาบยายาง
หน้าไม้กางโล่หอกไร้ปลอกคลุม

ผืนธงชัยพรึบพัดสะบัดใบ
จะชิงชัยนาคาพาลงหลุม
เสียงกลองชัยตามหลังดังตังตุม
ให้เกาะกลุ่มเคลื่อนคล่องคะนองพล

ดงสะท้านดินสะเทือนเมื่อเคลื่อนทัพ
สุ้มสดับโห่ร้องก้องสถล
ฝุ่นกระจายเป็นควันในบันดล
ท้าวผาแดงแต่งตนไปบนกรี

☼.....ฝ่ายสุทโธราชาเจ้าบาดาล
เมื่อเผาผลาญถล่มเมืองที่เรืองศรี
มิได้ยกกองทัพกลับธานี
ยึดวารีหนองหานน่านน้ำนอง

ครั้นผาแดงมาถึงบึงหนองหาน
ท้าวส่งสาส์นท้ายุทธ์สุทโธผยอง
ถ้าไม่อยากทำศึกจงตรึกตรอง
รีบส่งน้องไอ่คำมากำนัล

จะรอรับนางไอ่อยู่ใกล้หนอง
ไม่ขัดข้องเคืองใจเมื่อได้ขวัญ
หากแม้นไม่คืนมาก็ฆ่ากัน
จะประจัญพันธุ์เผ่าเจ้ามลาย

ศรีสุทโธได้อ่านสาส์นท้าจบ
เลือดนักรบพุ่งพล่านซ่านเป็นสาย
แสนโทโสโมหันจนสั่นกาย
ประกาศลายนาคารับท้ารบ

..........<มีต่อ>

6/10/54

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๘ โดยพี่ กิตติธร


.....ส่วนทัพสองขึ้นโขงตรงทางเหนือ
ตามมาเพื่อเกื้อกูลคอยคูณค้ำ
จากเหนือตรงลงใต้ให้จงจำ
จงกระทำผลาญเผาให้เมามัน

พวกกินเนื้อลูกข้าอย่าให้เหลือ
ให้มันตายเป็นเบืออย่าเหลือขันธ์
เร่งเข้าเถิดพวกเราเข้าประจัญ
จงล่าล้างพวกมันให้บรรลัย

หมู่นาคหนุนต่อเนื่องด้วยเรืองเดช
เกิดอาเพศฟ้าแดงฉานกาลสมัย
เสียงสนั่นลั่นฟ้าสุราลัย
เมื่อสมัยกลางฟ้าทิวากร

อันทัพแรกด้นดั้นพลันถล่ม
เป็นเปือกตมเต็มทางร่างสลอน
กลายเป็นลำน้ำใหญ่ในดงดอน
อนุสรณ์เรียกไว้ห้วยไพจาน

ตรงเข้าหาชทิตาบูรพาทิศ
หมู่อมิตรคิดทำลายอย่างไพศาล
พวกมนุษย์เพลินอยู่ไม่รู้กาล
มัจจุราชเรียกขานในวันนี้

ส่วนทัพหลังดันพื้นขึ้นเป็นปล่อง
เป็นรูร่องปล่องน้ำตามคำชี้
แล้วรุกคืบลงใต้ในทันที
เผาชีวีแหลกลาญทั้งบ้านเรือน

เกิดเป็นห้วยลำน้ำไปตามทาง
เป็นร่องรางตามหนที่พลเคลื่อน
บัดนี้เรียกห้วยพ่นไฟเพราะไหม้เรือน
บ้างแชเชือนเรียกพลไพรในบางครา

☼.....จะกล่าวถึงผาแดงแห่งผาโพง
ได้มีโองการสั่งอย่างหรรษา
เตรียมขันหมากสู่ขอลออตา
หลังกลับจากชทิตามหานคร

เป็นการหมั้นหมายสมรก่อนสมรส
ซึ่งกำหนดอีกสองเดือนไม่เลื่อนย้อน
นี้เพียงการหมั้นขออรชร
ท้าวรีบร้อนเร่งมาไม่ช้านาน

ขบวนหมั้นแรมรอนถึงตอนเช้า
ผาแดงเร้าเร่งมาพบตาหวาน
ส่วนเวียงวังไอ่องค์นงคราญ
ได้เตรียมการต้อนรับขับสู้พร้อม

ครั้นได้ฤกษ์ตอนบ่ายเพื่อหมายหมั้น
คนโจษจันมากเหลือถึงเนื้อหอม
ต่างเฝ้าแลพิศพวงดวงพะยอม
ธิดาขอมจักเติมเสริมความงาม

ปกติความงามที่ล่ำลือ
เป็นเพียงถือกำเนิดก็เลิศหลาม
ยังประกาศเลื่องลือระบือนาม
ครานี้ทรามวัยเจ้าจะเท่าไร

เมื่อแต่งพร้อมสรรพเสร็จเสด็จมา
ทุกสายตาเบิ่งตามงามไฉน
แววพระเนตรดุจกวางอยู่กลางไพร
ดูวิไลกลึงกลมสมส่วนองค์

ผิวพระพักตร์จุรณจันทน์ประชันผัด
ให้คิ้วคางคมชัดน่ารัดหลง
อกอวบอิ่มสรรพางค์ร่างกายตรง
พระโขนงโค้งเคียวดั่งเรียวจันทร์

ดังองค์เทพีศรีสวัสดิ์
พระสุรัสวดีศรีสวรรค์
พระหยดย้อยแย้มยิ้มอิ่มอนันต์
เสนาพลันค้างคานั่งตาลอย

ทรงแย้มยิ้มแลมาทางผาแดง
ผู้ลืมแรงรักเรืองจนเงื่องหงอย
เพลินพระองค์นิ่งขึงตะลึงลอย
โอ้เนื้อกลอยสุดจะสรรพรรณนา

ทันใดนั้นลางร้ายได้อุบัติ
จิ้งจกพลัดตกตายใจผวา
ต่อหน้าองค์เทวีพระธิดา
ตื่นอุราหวั่นไหวในบันดล

ในขณะทุกคนเฝ้างงงัน
ต่างเสียขวัญเหตุนี้ต้องมีผล
พร้อมกันนั้นตังตึงเสียงอึงอล
เกิดลมฝนมืดมิดทิศบูรพา

เสียงพายุพายพัดซัดกระหน่ำ
เมฆาคล้ำบิดเกลียวมาเจียวหนา
ดั่งอสูรยกทัพจับเทวา
วชิราแลบลั่นสนั่นดิน

ทางปัจฉิมฟ้าฉานปานดังเลือด
พายุเดือดทรงพลังดังศิขริน
ถูกทำลายกระจายแตกแหลกเป็นดิน
ด้วยฝีมือวัชรินทร์ปิ่นเมืองแมน

พระทวารบานหน้าต่างกางกระเด็น
ไม่เคยเห็นต่างหวั่นกันเหลือแสน
เมืองทั้งเมืองเขย่ารัวไปทั่วแดน
บูรพาแผ่นดินพังพรั่งพรูมา

ดินเขย่าลมขยับพยับลั่น
พายุดันสุดพลังดังหวือหวา
แผ่นดินยุบน้ำทะลักพุ่งผลักมา
พสุธาวอดวายกลายเป็นโคลน

หวิวหวีดกรีดเสียงสำเนียงดัง
แผ่นดินพังไม่มีที่เผ่นโผน
เสียงร่ำไห้กู่ร้องก้องตะโกน
ถูกน้ำโคลนพัดหายไปจากกัน

ลูกพรากแม่เมียพรากผัวระรัวร้อง
กึกก้องทั่วแผ่นดินดังสิ้นขวัญ
ปวงประชาดาวดิ้นสิ้นชีวัน
แผ่นดินพลันสูญหายกับสายชล

ส่วนผาแดงเห็นภัยไล่มาถึง
ตกตะลึงอึดใจเท่าปลายขน
ผู้อื่นต่างสับสนอลวน
แต่ละคนเร็วรี่รีบหนีตาย

เจ้ารีบคว้าพระกรบังอรองค์
แล้วรีบลงก่อนวังพังสลาย
คว้าสมบัติพัสถานสุวรรณราย
อันเป็นเครื่องหมั้นหมายไปเร็วพลัน

กระโจนขึ้นอาชาผู้คู่ชีวิต
เจ้าสามฤทธิ์แรงดีขมีขมัน
ผาดโผนกระโจนไวไปทันควัน
ขณะนั้นเมืองพังตามหลังมา

พลนาคีศรีสุทโธนาคราช
อาละวาดสร้างกรรมทำหิงสา
พากันขุดดินถล่มจมพสุธา
ตามบัญชานาคีศรีสุทโธ

พังทลายแหลกสิ้นทุกถิ่นฐาน
ทั้งเรือนบ้านตำหนักวังอักโข
ชติตารุ่งเรืองเมืองใหญ่โต
เคยอวดโอ่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน

มาบัดนี้กลับสลายกลายเป็นหนอง
ผืนน้ำใหญ่เนืองนองชื่อหนองหาน
จากเวียงวังใหญ่โตโอ่ตระการ
เป็นหนองหานเพียงขยิบกระพริบตา

เจ้าสามม้าสำแดงแผลงพลัง
นายนั่งหลังแล้วหนีด้วยสี่ขา
นางไอ่คำกอดรัดภัสดา
นองน้ำตาหวาดหวั่นอันตราย

มุ่งไปทางปัจฉิมริมนคร
ไม่เหลียวย้อนดูวังพังสลาย
เร่งควบม้าเจ้าสามหนีความตาย
มวลหมู่นาคทั้งหลายไม่ยินยอม

ด้วยนาคาได้กลิ่นกายินทรีย์
ของภังคีจากกายาธิดาขอม
จึงขุดดินตามทวงพวงพะยอม
ธิดาขอมเอาไปในธารา

แผ่นดินยุบโครมครามน้ำเนืองนอง
เป็นคูคลองพุ่งพรั่งตามหลังม้า
ผาแดงเห็นของมากหนักอาชา
จึงบอกพระธิดาให้ทิ้งไป

นางทิ้งฆ้องทองคำตามคำสั่ง
เพื่อเบาหลังเจ้าสามตามขานไข
เจ้าสามเบาเข้าจริงก็วิ่งไว
ค่อยห่างไกลการล่าของนาคี

..........<มีต่อ>

6/10/54

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๗ โดย พี่กิตติธร


...ตอนที่ ๑๗


.....พรานกงเล็งหน้าไม้เข้าใส่ร่าง
พอตรงทางยิงพลันทีนั้นหนา
ลูกหน้าไม้รุนแรงแทงกายา
เสียบอุรากระรอกน้อยลอยกระเด็น

แสนปวดแปลบแสบหทัยหายใจขัด
โอ้กรรมซัดตามจองให้มองเห็น
ธาตุทั้งสี่ลาญแหลกแตกกระเซ็น
ภังคีเห็นความตายไม่วายแค้น

ก่อนตายจึงตั้งจิตพิษฐาน
ให้นายพรานได้เนื้อมากเหลือแสน
ขอกายข้าจงใหญ่ไม่ขาดแคลน
ทั้งเขตแดนกินได้ทั่วทุกตัวคน

ขอให้คนทั้งหลายอยากได้กิน
ให้ลิ้มสิ้นกันทั่วหัวถนน
กลิ่นกายข้าจงติดสนิทคน
ขอให้ผลที่มันทำตามมาทัน

แม้นใครกินเนื้อกูที่รู้ชัด
จงวิบัติชีพสลายทำลายขันธ์
อย่าได้มีความสุขทุกคืนวัน
กรรมจงทันดุจดังข้าจำนง

อธิษฐานเสร็จสรรพก็ดับจิต
กรรมลิขิตขีดไว้ไม่ลืมหลง
กระรอกน้อยดาวดิ้นชีวินปลง
ตามจำนงคำหอมครั้งตรอมตาย

☼.....ครั้นกระรอกสิ้นใจให้ประหลาด
มีขนาดฟูฟ่องพองขยาย
ตัวใหญ่โตตามจิตตั้งครั้งก่อนตาย
พลันขยายกายาน่าอัศจรรย์

พรานงุนงงแปลกใจไม่วายเว้น
ไม่เคยเห็นสัตว์ตายกลับกลายขันธ์
กระรอกน้อยมาเติบใหญ่อย่างไรกัน
เมื่อเทียบทันกับช้างก็ข้างเคียง

เหล่านายพรานดีใจได้แก้แค้น
ต่างชูแขนเหนือหัวระรัวเสียง
โห่ร้องกันท่วมทับสรรพสำเนียง
ตะเบ็งเสียงโห่ลั่นสนั่นไพร

ในที่สุดกงพรานก็บัญชา
เหล่าบรรดาลูกน้องที่ผ่องใส
ให้พากันชักลากเอาซากไป
เพื่อจะได้ชำแหละแหวะกมล

จะได้เอาหัวใจให้ไอ่คำ
ตามพระดำรัสหนอไม่ฉ้อฉล
ครั้นหาที่เหมาะได้ไม่ไกลคน
แหล่งชุมชนใกล้ถนนชลธี

ก่อนชำแหละสรรพางค์ร่างกระรอก
พรานกงบอกเอาหัวใจให้ไอ่ศรี
อยากได้คนฝึกปรือฝีมือดี
เอาฤดีกระรอกออกมาพลัน

ไม่มีใครอาสาผ่าอกนาค
ยังเกรงซากนาคีมีอาถรรพ์
หันซ้ายขวาจับจ้องมองหน้ากัน
ทันใดนั้นเซียงน้อยค่อยย่างมา

อันเซียงน้อยรู้เรื่องก็เยื้องยาตร
ไม่ขี้ขลาดอาจหาญขันอาสา
มีฝีมือชำแหละแหวะอุรา
เอามีดผ่าควักใจไม่เนิ่นนาน

จากนั้นเซียงเชือดเถือเนื้อกระรอก
ผ่าตัดออกมังสามหาศาล
เนื้อกระรอกพอกพูนคูณเบิกบาน
ทุกคนช่วยกิจการแบ่งปันเนื้อ

สถานที่แล่เนื้อเพื่อแบ่งปัน
ปัจจุบันยังถือมีชื่อเหลือ
บ้านเชียงแหวตรงนี้ที่แล่เนื้อ
แต่ว่าเมื่อกาลเปลี่ยนพูดเพี้ยนไป

คนอีสานบรรพชาสามเณร
พอลาเว้นสิกขามาคราไหน
จะมีคำนำหน้าว่าเซียงไป
เพื่อรู้ได้ชายนั้นเคยบรรพชา

เรียกเซียงแหวะเปลี่ยนเสียงเป็นเชียงแหว
เรื่องเก่าแก่โดดเด่นเป็นผญา
อยู่ในผูกใบลานนมนามมา
ให้รู้ว่าเชียงแหวหรือคือตำนาน

บัดนั้น บรรดาประชาชน
เกือบทุกคนแผ่เผื่อเลือดเนื้อหวาน
อยากได้มากก็ได้มากหากต้องการ
ยังเหลือล้นเต็มลานบานตะไท

ส่วนทางบ้านเซียงแก้วก็แว่วยิน
ว่าทุกถิ่นแบ่งปันกันไฉน
บ้านตนล้วนคนหม้ายน่าหน่ายใจ
ใครต่อใครไม่นิยมสมคบตน

จึงมิได้แม้เนื้อที่เหลือปัน
ด้วยตัวนั้นเป็นหม้ายเขาไม่สน
เขารังเกียจหลีกหลบไม่คบตน
ไม่มีคนเป็นคู่เขาดูแคลน

บ้านเซียงแก้วเมืองแม่หม้ายในครั้นนั้น
ปัจจุบันเกาะแก้วเรืองดั่งเมืองแถน
มีเจดีย์พระธาตุสะอาดแดน
ไม่แร้นแค้นตระการหมู่บ้านคน

ชื่อหมู่บ้านดอนแก้วตามแนวเรื่อง
ว่าเป็นเมืองแม่หม้ายไร้ชายสน
เปลี่ยนจากเซียงเป็นดอนไปตามใจคน
กาลว่ายวนสิ่งใดล้วนไม่ยืน

คนทั้งหลายจานเจือเนื้อกระรอก
ทุกซอยตรอกแบ่งสรรกันทั่วพื้น
ลิ้มกระรอกอร่อยลิ้นได้กินกลืน
กันทั่วผืนแผ่นดินขอมจอมบุรี

ส่วนหัวใจพรานกงบรรจงห่อ
เพื่อลออไอ่องค์ผู้ทรงศรี
นำไปก่อนใครใครในธานี
เพื่อถวายรานีมีรางวัล

พรานงีบหลับริมทางระหว่างไป
โคนต้นไม้งีบนอนพักผ่อนขันธ์
พอได้พักกายีมีแรงพลัน
เจ้าก็มั่นมุ่งไปในวังเวียง

ตรงที่พรานงีบหลับพับคอนั้น
ปัจจุบันเรียกบ้านเซียบเพราะเงียบเสียง
อนุสรณ์งีบหลับดับสำเนียง
ระหว่างเวียงกับที่แล่แถเนื้อกัน

นายพรานนำหัวใจไปถวาย
พระธิดาพรรณรายตามใฝ่ฝัน
เจ้าหญิงน้อยดีพระทัยให้รางวัล
พรานก็พลันทูลลามาบ้านตน

ฝ่ายบริวารนาคาเจ้าบาดาล
เห็นนายพรานฆ่านายให้สับสน
ต่างโผผินบินหนีอลวน
รีบพาตนแหวกธาราสู่บาดาล

พญาศรีสุทโธกริ้วโทสา
เมื่อหมู่นาคเสนามาเล่าขาน
โกญจนาทผาดแผลงสำแดงดาน
สะเทือนท้านลั่นก้องคะนองไป

นทีฟองนองระลอกกระฉอกคลื่น
เขย่าผืนสมุทรลั่นสนั่นไหว
หมู่เงือกงูมัจฉาผวาใจ
ต่างหวั่นไหวกลัวฤทธิ์พิษนาคา

แล้วสั่งให้ขุนพลเร่งขนทัพ
ไม่ต้องนับนำไปให้หมดหนา
กูจะยกพหลพลโยธา
ไปขยี้ชติตาให้ล่มจม

ให้ตระเตรียมกองทัพนับเป็นสอง
ทัพหนึ่งต้องยิ่งใหญ่ให้เหมาะสม
จัดทหารน่าดูเป็นหมู่กรม
แล้วระดมขึ้นตรงลำโขงมา

เข้าไปทางตะวันออกนอกธานี
บดขยี้พวกมันให้หรรษา
จากแผ่นดินให้เห็นเป็นธารา
เว้นแต่ว่าผู้ใดมิได้ลอง

แม้มิได้กินร่างของภังคี
ไว้ชีวีอย่าผจญให้หม่นหมอง
อีกพระเถรเณรชีมีศีลครอง
อย่าแตะต้องคนดีมีศีลธรรม

..........<มีต่อ>
6/10/54

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๖ โดย. พี่กิตติธร


.....กระไรหนอเราสัตว์ดิรัจฉาน
เจอคนพาลตามล่าในป่าลึก
เหตุผลใดไม่ต้องมาตรองตรึก
เพียงแค่นึกอยากฆ่าก็ล่าเอา

ท่านทั้งหลายอย่าสนคบคนพาล
รู้จักนานจะพลางตามอย่างเขา
จะซึมซับติดพาลสันดานเรา
ดั่งเทือกเถาวัลย์เลี้ยวเกี่ยวกอดกลม

ดูมะม่วงพันธุ์ดีมีรสหวาน
หากเอาย่านบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ปลูกอยู่ใกล้เกี่ยวกันพลันนิยม
เคยหวานกลายเป็นขมเพราะชมกัน

ครานั้น พรานไพรชิงไหวพริบ
ต่างเงียบกริบราวป่าดุจอาถรรพ์
พรานก็นั่งนาคก็นิ่งไม่ติงกัน
ต่างอดกลั้นอำพรางระวังตัว

ในกาลนั้นพรานกงให้สงสัย
รู้สึกมีอะไรตกใส่หัว
ยกมือขึ้นลูบเขี่ยอยู่เนียนัว
พอรู้ตัวถึงอ้อก็ตื่นตา

ขี้กระรอกเต็มนิ้วเลิกคิ้วดู
กำหนดรู้ตื่นเต้นเป็นหนักหนา
เงยหน้าดูเหนือตนบนที่มา
อนิจจาอยู่นี่ตรงนี้เอง

เห็นกระรอกซุกซบกับคบไม้
รีบทันใดประทับกระฉับกระเฉง
ถือหน้าไม้เล็งจ้องต้องกูเอง
ช่างเหมาะเหม็งเห็นชัดถนัดตา

ตั้งแต่ตามไล่ล่ามาถึงนี้
ได้เข้าใกล้ไม่เคยมีเท่านี้หนา
โอกาสทองของกูอยู่เต็มตา
กูจักฆ่าให้สมอารมณ์ปอง

ได้จังหวะเล็งนิ่งก็ยิงไป
ลูกหน้าไม้พุ่งตรงคงผยอง
แทนที่จะปักกายดังหมายปอง
แต่กลับต้องกระดอนมาในครานั้น

หน้าไม้นี้ยิงช้างยังหางชี้
คงเป็นเพราะภูมิดีมีอาถรรพ์
ยิงกระรอกไม่เข้าเฝ้างงงัน
ภังคีพลันเผ่นผางทางปัจจิม

สถานที่กล่าวว่ามีอาถรรพ์
ปัจจุบันหมู่ชนคนแย้มยิ้ม
ตั้งหมู่บ้านรื่นรมย์น่าชมชิม
อยู่ตรงริมหนองหานอีสานทิศ
ชื่อว่าบ้านดอนคงจงจำมั่น
คงกระพันภังคีรอดชีวิต
หากไม่ได้ภูมิที่ผู้มีฤทธิ์
พรานคงปลิดชีพนาคไม่ยากเย็น

บริวารปักษาผวาหนี
นำภังคีเร่งร้อนจากซ่อนเร้น
ตะวันตกมุ่งไปเมื่อใกล้เย็น
เจ้าโผนเผ่นวิ่งมุ่งข้ามทุ่งเตียน

มุ่งสู่ป่าทึบทึมอึมครึมโน้น
เผ่นกระโจนแสนยากอยากเกษียณ
วิ่งหนีตายทุกข์ยากกว่าพากเพียร
ด้วยทุ่งเตียนไร้ที่ซ่อนผ่อนกายา

นึกถึงพ่อแม่เคยเฉลยความ
เคยห้ามปรามด้วยรักเป็นนักหนา
ไม่อยากให้ขึ้นสู่พสุธา
ด้วยนานาผองภัยในมนุษย์

แต่ไม่ฟังคำค้านของมารดา
จึงถูกล่าตามหลังไม่ยั้งหยุด
เป็นทุกข์ใจไร้หวังดังเจอครุฑ
พวกมนุษย์เป็นไฉนจิตใจพาล

เหล่านาคแปลงมุ่งกรูสู่ราวป่า
เบื้องหน้าป่าชัฏดังรัดสาน
พอข้ามพ้นท้องทุ่งเป็นบุ่งจาน
เถาวัลย์ลอดสอดประสานเป็นดานดง

ส่วนต้นจานสูงใหญ่ใบทึบทึม
ดูร่มครึ้มพฤกษาน่าเดินหลง
พอไปถึงป่าชัฏอัสดง
มืดค่ำลงพอดีที่บุ่งจาน
อันบุ่งจานนั้นหนาป่าทองกวาว
ตามเรื่องราวเล่าเล่นเป็นหลักฐาน
มายุคนี้คือกลุ่มบ้านอุ่มจาน
พอเนิ่นนานคำเปลี่ยนผัดเพี้ยนไป

คำว่าบุ่งเปลี่ยนไปกลายเป็นอุ่ม
ที่ประชุมประชาหน้าแจ่มใส
มีถนนตัดผ่านหมู่บ้านไป
ทั้งน้ำไฟใสสว่างเป็นอย่างดี

ค่ำคืนนั้นภังคีได้ที่ซ่อน
พอได้นอนพักองค์ผู้ทรงศรี
ซุกกายกรซ่อนองค์ในพงพี
ลูกนาคีหลับไวด้วยไร้แรง

สามคืนแล้วหลบหนีรอดชีวิต
มนุษย์ติดตามตนจนสิ้นแสง
พอคืนค่ำได้นอนพักผ่อนแรง
กระรอกแปลงสิ้นคิดจิตมืดมน

โอ้ดูหรือนาคาผู้อาภัพ
ไร้ปัญญาเป็นทรัพย์จึงสับสน
คราวบุญโปงใบ้เบื้อเมื่อเป็นคน
กรรมตามดลเกิดมาในครานี้

เป็นนาคาภังคีผู้มีฤทธิ์
แต่ความคิดไม่แจ้งดังแสงสี
ไร้ปัญญาพินิจคิดวิธี
ไม่ได้มีความคิดพิชิตภัย

☼.....ครั้นแสงเงินวาววับจับท้องฟ้า
ท้องนภาเริ่มแจ้งแสงสมัย
อีกไม่นานสุริยันจักครรไล
ขึ้นสาดส่องอำไพให้ปฐพี

ในกาลนั้นพรานตื่นขึ้นเห็นแสง
ยังไม่แจ้งแก่ตาในครานี้
แต่ฝูงนกเกาะกลุ่มสุ้มเสียงดี
มันเร็วรี่ลงใต้ออกไปแล้ว

เรียกสมุนของตัวอย่ามัวขลุก
จงรีบลุกฟังเสียงสำเนียงแจ๋ว
หมู่นกกานกเอี้ยงเสียงแซงแซว
มันไปแล้วทางใต้ตามไปพลัน

เดินข้ามลำห้วยน้ำตามเสียงนก
ด้นทุ่งรกตามปักษีในที่นั้น
ไม่นานนักก็แจ้งแสงตะวัน
สุริยันส่องสว่างกระจ่างตา

ส่วนภังคีเห็นไกลดอนไม้สูง
จึงมั่นมุ่งเร็วรี่ด้วยสี่ขา
เห็นมะเดื่อยืนต้นปนยางนา
ลูกแดงเหลืองล่อตาดูน่าทาน

ตรงที่แจ้งพอดีในที่นั้น
กาลเปลี่ยนผันเรียกบ้านแจ้งแถลงสาส์น
บ้านดั้งเดิมของกลุ่มบ้านอุ่มจาน
ตั้งอยู่นานจึงจางทิ้งร้างไป

ปัจจุบันเหลือโพนโนนบ้านเก่า
ตามเรื่องเล่าเก่ามาว่าตรงไหน
ส่วนลำห้วยเรียกห้วยแจ้งแถลงไว้
ที่พรานไพรลุยน้ำจ้ำตามมา

ส่วนดอนใหญ่ไม้สูงล้วนยูงยาง
เป็นป่าร้างกลางทุ่งให้ศึกษา
ก่อนเคยเป็นหมู่บ้านเมื่อนานมา
เรียกกันว่าบ้านดอนยางอย่างตำนาน

☼.....ครานั้น นาคาผู้หารัก
หิวโหยนักกินมะเดื่อที่เนื้อหวาน
กัดกินอุทุมพรผ่อนทรมาน
บริวารทั้งสิ้นก็กินพลัน

ด้วยหิวแหบแสบไส้หลายเพลา
มวลนาคากินได้ไม่เดียดฉันท์
พอได้กินหวังเพียงเลี้ยงชีวัน
ยังมิทันบรรลุอิ่มอุทร

พรานกงย่องมาทันมองหันหา
เห็นเต็มตาว่ากระรอกไม่ยอกย้อน
กำลังกัดกินกลุ่มอุทุมพร
ไม่สังหรณ์จิตใจว่าภัยมา

..........<มีต่อ>

6/10/54

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๕ โดย.พี่กิตติธร


นางไอ่ ตอนที่ ๑๕


.....เห็นวิหคล่วงหน้าพะว้าพะวัง
ที่ตามหลังเห็นงูผู้มีพิษ
สีขาวปลอดหงอนแดงดูแรงฤทธิ์
พรานครุ่นคิดหวังฆ่านาคาพลัน

โดยไม่รู้งูหรือคือกระรอก
พรานสั่งบอกลูกสมุนอย่างผลุนผัน
รีบว่องไววิ่งวางดักทางมัน
งูตัวนั้นประหลาดอย่าพลาดเชียว

ส่วนภังคีเห็นภัยเข้าใกล้ตัว
ยิ่งหวาดกลัวใจฟุ้งสะดุ้งเสียว
พวกมนุษย์ตามฆ่ากันท่าเดียว
รีบลดเลี้ยวมุ่งตรงเข้าโพรงดิน

อันเป็นรูอยู่โพนโนนโดดเด่น
ภังคีเห็นรีบไปดั่งสายสินธุ์
พรานตามทันรีบลุยคุ้ยโพรงดิน
ตามล่าล้างชีวินให้สิ้นใจ

ไม่ทันได้เห็นหัวหรือตัวงู
เสียงอ้าอู้ตื่นเต้นเป็นไฉน
พวกสมุนกางอ้าขากรรไกร
ตระหนกใจมือเย็นเมื่อเห็นทอง

คนหนึ่งคว้าทองคำกำมือแน่น
คิดหวงแหนว่ากูผู้เจ้าของ
คนต่อมาตาเห็นว่าเป็นทอง
จึงจับจ้องชิงแย่งด้วยแรงกาย

เกิดโขมงโฉงเฉงตะเบ็งแข่ง
ต่างยื้อแย่งเอาทองที่ปองหมาย
ทั้งถีบเตะยื้อยันกันวุ่นวาย
แม้ว่านายบอกห้ามไม่คร้ามฟัง

จนสุดท้ายพรานกงอ้างโองการ
เยาวมาลย์บอกกล่าวแต่คราวหลัง
หากมัวยังแย่งทองไม่ตรองฟัง
รู้ถึงวังจะพิโรธโกรธเป็นไฟ

อันองค์หญิงให้มาล่ากระรอก
มากลับกลอกชิงทองกันนั่นไฉน
หัวจะพรากจากบ่ากระเด็นไป
สูจะได้ม้วยมอดวอดชีวี

ลูกสมุนฟังพลันหวั่นวิตก
เสียวหัวอกนึกถึงองค์พระทรงศรี
มัวแต่แย่งทองคำเพียงจำปี
จะพาศีรษะตนหลุดพ้นคอ

ตรงโพนดินถิ่นเก่าที่เล่าขาน
ที่พวกพรานแย่งทองกันนั่นละหนอ
มาบัดนี้คนมากมีถักทอ
ได้ตั้งก่อเป็นบ้านอยู่นานมา

เรียกว่าบ้านโพนทองตามคลองเรื่อง
บ้านรุ่งเรืองคนดีมีศึกษา
มีลูกหลานเป็นใหญ่ให้ชื่นตา
รุ่นปู่ย่ายิ้มย่องมีทองใช้

ในครานั้นบริวารของพรานกง
ทิ้งทองลงหยิบปืนผาและหน้าไม้
คว้าธนูแคล่วคล่องดูว่องไว
ด้วยกลัวภัยธิดาเจ้าธานี

ส่วนงูใหญ่กลายร่างเป็นกระรอก
แล้ววิ่งออกอีกทางพลางหลบหนี
ในขณะคนแย่งทองทุบถองตี
เจ้าก็รี่โลดไปในไพรพง

พรานกงหันเห็นทันนั่นกระรอก
จึงรีบบอกพวกตัวอย่ามัวหลง
อ้างคำสั่งพระธิดาโสภาองค์
แล้วชี้ตรงทิศใต้ให้พลันตาม

นายพรานนึกตอนเข้ารูเป็นงูใหญ่
แล้วไฉนโผล่อีกทางร่างเปลี่ยนผัน
หรือกระรอกงูเงี้ยวตัวเดียวกัน
ต้องอย่างนั้นแน่ใจไม่ผิดตัว

อัศจรรย์แปลกใจไม่เคยเห็น
ตัวแท้เป็นอะไรหนาน่าปวดหัว
แต่พวกมันตายได้จึงไม่กลัว
อีกทั้งตัวโกรธเคืองเรื่องลูกน้อง

ที่ถูกงูกัดตายไปหลายคน
จึงดั้นด้นแก้แค้นแทนพวกพ้อง
จับตัวได้เมื่อไรจักได้มอง
คนทั้งผองจักรู้ชัดสัตว์อะไร

กระดิ่งทองส่งเสียงสำเนียงเพราะ
ดังเสนาะเผ่นผางไปทางไหน
อยู่กับคอกระรอกขาวในราวไพร
พรานจึงได้ตามติดไม่ผิดทาง

กระรอกด่อนมุ่งใต้มีไผ่กอ
ทั้งหนามหน่อขี้แฮดเอยไม่เคยถาง
สุมเป็นเซิงคลุมปกดูรกร้าง
ไม่มีทางเดินง่ายที่ใดเลย

อีกทั้งคลุมด้วยดงตาลตระหง่านสูง
บรรดาฝูงนกนำไปไม่นิ่งเฉย
เข้าป่าตาลแน่นขนัดไม่ขัดเลย
แต่พรานเอ่ยแสนยากลำบากแท้

ยิงธนูหน้าไม้ก็ไกลเกิน
กระรอกเหินหลบไปไม่ได้แผล
ระดมยิงอย่างไรไม่เปลี่ยนแปร
ไม่อาจทวงดวงแดกระรอกดอน

ในทีนั้นพรานแนบปืนแก๊ปเล็ง
พอตรงเผงเหนี่ยวไกใจเร่าร้อน
เสียงดังปังลั่นป่าพนาดอน
กระรอกด่อนตระหนกตกต้นตาล

ลูกสมุนเข้าไปหวังได้จับ
กระรอกกลับพุ่งพรากออกจากฐาน
วิ่งว่องไวในป่าต่อหน้าพราน
พางุ่นง่านอุรานึกว่าตาย

ตรงที่มีสำเนียงเสียงปืนดัง
ลั่นออกปังตรงนี้มีที่หมาย
ปัจจุบันเรือนชานหมู่บ้านราย
ทั้งหญิงชายคนขยันหมั่นทำกิน

ชื่อหมู่บ้านเมืองปังด้วยฟังเสียง
ครั้งสำเนียงปืนดังฟังถวิล
จึงประกาศเรื่องไว้ให้โลกยิน
ว่านี้ถิ่นปืนลั่นสนั่นไพร

☼.....ครานั้น ภังคีมองขึ้นท้องฟ้า
ดูนกกาว่าวางไปทางไหน
สัญญาณบอกตะวันตกรกแน่นไป
คงจะได้ซ่อนตนให้พ้นเวร

เป็นดงใหญ่ไม้สูงดูตระหง่าน
ทั้งต้นตาลไทรยางไม่ว่างเว้น
ส่วนข้างล่างดงหนามดูลำเค็ญ
ยากเย็นหากคนจะด้นดัน

หนามคัดเค้าขี้แฮดทั้งแปดทิศ
ตำแยพิษคันคายในดงนั้น
กระรอกเข้าซ่อนกายหายตัวพลัน
ฝูงนกนั้นร่อนลงในพงไพร

พรานกงเห็นนกสมุนไม่วุ่นวาย
จักซ่อนกายกระรอกอยู่ซอกไหน
จึงค่อยย่องเหยียบย่างระวังไว
บางครั้งหยุดเคลื่อนไหวส่ายตามอง

พรานยืนนิ่งส่วนกระรอกไม่ออกตัว
ใจระรัวลมแผ่วแขม่วท้อง
อำพรางกายใจนึกต่างตรึกตรอง
ฝ่ายหนึ่งจ้องหลบรอดให้ปลอดภัย

แต่อีกฝ่ายจ้องฆ่าล่าชีวิต
ภังคีคิดงุนงงให้สงสัย
พวกมนุษย์เดือดดาลรำคาญใจ
ด้วยเรื่องไรแปลกจิตคิดงงงัน

นึกไม่ออกว่าตนเคยขวนขวาย
ไปทำลายเงินเบี้ยให้เสียขวัญ
เป็นศัตรูผู้ใดเมื่อไรกัน
ไฉนนั่นจึงมาล่าชีวิต

นั่นละหนอสันดานพาลมนุษย์
ไม่สิ้นสุดความร้ายดังไฟพิษ
แม้จอมเทพอินทร์องผู้ทรงฤทธิ์
ก็ยังคิดเคืองได้กระไรคน

หรือกระทั่งพุทธองค์ผู้ทรงญาณ
พวกคนพาลสันดานชั่วไม่กลัวผล
ด่าพระองค์เป็นลาอูฐพูดสัปดน
อันพาลชนทำได้ไร้สำนึก

..........<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๔ โดย.พี่กิตติธร


ตอนที่ ๑๔


.....กูจะฆ่ากระรอกดงให้จงได้
จงรีบไปตามล่าอย่าให้หลง
กูจะตามไล่ล่าทุกป่าดง
กูจะปลงให้ม้วยด้วยมือกู

☼.....ส่วนขบวนนาคแปลงจำแลงร่าง
ถึงเวิ้งว้างทุ่งหญ้าสุดตาหู
เป็นทุ่งใหญ่กว้างไกลไร้คันคู
ให้หดหู่ด้วยไม่มีที่กำบัง

เลยพากันแปลงร่างเป็นอย่างงู
เพื่อเคียงคู่รอบข้างระวังหลัง
อยู่รายล้อมกระรอกน้อยคอยระวัง
ด้วยใจตั้งป้องภัยให้นายตน

ฝ่ายภังคีเห็นดีที่เป็นงู
เพราะครูดถูไปง่ายดีมีเหตุผล
เป็นกระรอกไปยากลำบากตน
ตามถนนทุ่งร้างต้องร่างเดิม

จึงแปลงเป็นงูใหญ่ในบัดเดี๋ยว
ร่างปราดเปรียวคักคึกดูฮึกเหิม
สีเผือกผ่องยองใยในกายเดิม
ได้พูนเพิ่มพลังเจ้าภังคี

พื้นที่ราบเรียบร้างกว้างใหญ่นัก
มิหยุดพักที่ใดในครานี้
บริวารล้อมหน้าหลังของภังคี
ต่างเลื้อยรี่เร็วไวในทุ่งร้าง

ฝ่ายนายพรานเจ็บใจไม่ย่นย่อ
เห็นหญ้ากอลาญแหลกดุจแถกถาง
เป็นรอยเลื้อยถูไถไปเป็นทาง
พอคิดพลางก็เห็นเป็นอัศจรรย์

ว่ากระรอกตัวนี้หรือคืออะไร
ให้แปลกใจในจิตคิดอาถรรพ์
เทวายักษ์นาคงูหรือสุบรรณ
อัศจรรย์ผิดแผกแปลกธรรมดา

ก่อนนี้เห็นปักษีบินวี่ว่อน
แต่มาตอนนี้ไซร้ไร้ปักษา
เห็นแต่รอยงูลื่นดาษดื่นตา
แหวกกอหญ้าทุ่งร้างเป็นทางไป

ไม่ว่าเป็นสิ่งใดไฉนนั่น
จะจับมันเพื่อปลงความสงสัย
ถึงตอนนี้พรานกงตกลงใจ
ต้องตามรอยงูไปคงได้ตัว

แต่สภาพทุ่งร้างเวิ้งว้างร้อน
ต่างเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าพาเวียนหัว
อิดโรยร่างย่างมาขาพันพัว
ใจระรัวอ่อนระทวยด้วยแดดแรง

เคยขึงขันเตรียมธนูดุจสู้ศึก
สิ้นความคึกดุจตะวันอันอ่อนแสง
แบกคอนสายธนูสู้ผ่อนแรง
บ้างเดินแกว่งหน้าไม้ไปตามทาง

บ้างคอนสายธนูมาพร้อมหน้าไม้
แสนอ่อนเพลียละเหี่ยใจในทุ่งร้าง
ปัจจุบันถิ่นนี้มีหนทาง
ไม่เวิ้งว้างเงียบเหงาดั่งเก่ามา

เป็นหมู่บ้านคอนสายคนหลายหลาก
ตำนานฝากเอาไว้ให้ศึกษา
แต่เดิมหรือชื่อบ้านคอนสายหน้า
ครั้นต่อมาผิดเพี้ยนเปลี่ยนคำเดิม

เหลือแต่เพียงคอนสายฝากให้รู้
ว่าตามงูเหนื่อยใจไร้ฮึกเหิม
ตามเรื่องราวแต่หลังเมื่อครั้งเดิม
ครั้งได้เริ่มเรื่องราวตามเล่ามา

ในที่สุดกงพรานชำนาญไพร
ติดตามรอยมาใกล้ผู้ไร้ขา
ประชิดกับฝูงงูผู้นาคา
ประจันหน้าสู้กันในทันที

ลูกสมุนพรานกงปลงชีวิต
ฆ่างูพิษตกตายกลายเป็นผี
บางคนถูกรัดกินสิ้นชีวี
ไม่อาจหนีได้ทันก็พลันตาย

ฝ่ายฝูงงูก็มีสิ้นชีวิต
ด้วยแรงฤทธิ์ของคนที่ขวนขวาย
ระดมยิงธนูพรูเต็มกาย
จนวอดวายดาวดิ้นสิ้นชีวัน

ต่างฝ่ายเข้าขันต่อไม่ท้อถอย
ฝ่ายงูตายไม่น้อยพลอยเสียขวัญ
จึงบอกพวกให้หนีสุดชีวัน
รีบบุกบั่นหนีไปในบันดล

ที่มนุษย์กับงูต่อสู้กัน
ปัจจุบันประชาชีมีมากล้น
ชื่อหมู่บ้านพังงูคู่ตำบล
ไม่สับสนตำบลบ้านขนานนาม

ทางที่งูหนีนั้นตะวันตก
ไปด้วยอกว่องไวแม้ไหน่หนาม
รีบหลบหนีเลื้อยไปดุจไฟลาม
พรานทั้งหลายก็ตามด้วยความแค้น

เมื่อสมุนมาตายไปหลายคน
ดั่งกมลถูกเชือดเดือดเหลือแสน
ติดตามถึงป่าละเมาะเลาะเขตแดน
ภังคีแจ้นมุ่งหน้าเข้าป่าไป

นาคบางตัวแปลงกายาเป็นกานก
เพื่อเหินหกขึ้นฟ้าดูท่าไหน
มองหาที่กำบังระวังไว
ทั้งดูเส้นทางให้เจ้านายตน

เจ้าภังคีหลบซ่อนถอนอุระ
ไม่รู้จะทำไฉนให้เห็นหน
ให้รอดตายพลัดพรากจากพวกคน
ให้สับสนหวั่นกลัวระรัวกาย

ถึงตรงนี้ฟ้าคล้ำใกล้ค่ำแล้ว
ฝูงนกแจวหนีคนดุจขวนขวาย
ฝ่ายพรานกงคงเห็นเป็นอุบาย
แต่ไม่วายให้ลูกน้องลองติดตาม

แต่ส่วนใหญ่ให้ล้อมป่าละเมาะ
เฝ้าลัดเลาะระวังดีไม่ผลีผลาม
ฝ่ายนกกาเห็นส่วนใหญ่ไม่ติดตาม
มีเพียงสามพรานไพรไล่ตามตน

จึงกลับมาคอยเฝ้ารอบเจ้านาย
ที่เร่าร้อนซ่อนกายอยู่หลายหน
เมื่อเห็นว่าพรานกงไม่หลงกล
จึงต้องวนกลับมาหาภังคี

เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำมืดมิด
นาคาคิดซุกซบพักหลบหนี
ด้วยสุดแสนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยกายี
เจ้าภังคีได้ที่ซ่อนก็นอนพลัน

ฝ่ายพรานกงสั่งคนให้วนล้อม
พ่อพรานขอมระวังอย่างแข็งขัน
ด้วยมั่นใจกระรอกขาวเจ้านายมัน
อยู่ในนั้นแน่แท้พ่อแน่ใจ

ด้วยทั้งคนทั้งนาคลำบากกาย
พอถึงท้ายราตรีที่สดใส
ต่างง่วงเหงาหาวนอนอ่อนพับไป
จบอุไรแสงทองของอีกวัน

ป่าละเมาะที่ซ่อนกายเจ้าชายนาค
เคยลำบากซุกซ่อนเดือดร้อนขวัญ
กาลเวลาเปลี่ยนผัดปัจจุบัน
แผ่นดินนั้นเป็นชุมชนคนมากมี

ชื่อว่าบ้านพังซ่อนไม่ย้อนยอก
ไม่ปลิ้นปลอกลวงเล่นดั่งเป็นผี
คนบ้านนั้นเขาว่าหน้าตาดี
นาคภังคีเคยซ่อนพักผ่อนกาย

☼.....ใกล้อรุณแสงสุวรรณพรรณราย
นาคทั้งหลายตื่นพลันไม่ทันสาย
รีบย่องเงียบเลียบลุกปลุกเจ้านาย
ก่อนที่สายแสงทองจะส่องดิน

แจ้งสัญญาณอุบายบอกนายหนี
บอกเสร็จแล้วปักษีรี่โผผิน
ตะวันตกตรงไปให้คนยิน
เสียงนกบินมุ่งออกนอกละเมาะ

ฝ่ายพรานกงพิศดูรู้กลสัตว์
คิดแน่ชัดจึงยิ้มกระหยิ่มเยาะ
เรียกสมุนตามไปให้พอเหมาะ
ค่อยย่างเหยาะตามทันกระชั้นชิด

..........<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๓ โดย.พี่กิตติธร


ตอนที่ ๑๓


.....บริวารนั้นเล่าก็เข้าที่
คอยดูวี่แววภัยไม่หน่ายแหนง
ส่วนพรานกงนั้นเล่าเฝ้าระแวง
คอยจัดแจงหวังกำจัดด้วยขัดเคือง

อันดงเยอปัจจุบันที่ท่านเห็น
กลายมาเป็นชุมชนคนย่างเยื้อง
เรียกผิดแผกแปลกวาจาว่าดงเมือง
ที่รุ่งเรืองคนมากหลากการงาน

กลางอำเภอกุมภวาปีที่อุดร
อนุสรณ์คนเก่าเล่าสืบสาน
ปากต่อปากสืบต่อก็นมนาม
ให้ลูกหลานรู้ดีถึงที่มา.

ฝ่ายพรานกงหาช่องทางอย่างลำบาก
ด้วยยุ่งยากคิดคุดสุดจะหา
ไม่อาจเห็นกระรอกด่อนซ่อนกายา
ต้องถ่างตาคอยจ้องมองทั้งคืน

ครั้นอรุโณทัยไต่ขอบฟ้า
ท้องนภารุ่งสางต่างตื่นฟื้น
นาคปลุกนายที่รอดตลอดคืน
ให้ลุกยืนเร็วรี่รีบหนีไป

☼.....กระรอกด่อนมุ่งหน้าบูรพาทิศ
หวังชีวิตคงอยู่คู่แขไข
แต่เพราะหวั่นในอกตระหนกใจ
อีกทั้งกรรมทำไว้ได้ติดตาม

จึงอาเพศเหตุให้คิดไม่ออก
เจ้ากระรอกจนใจสุดไต่ถาม
ได้แต่คิดเพียงพ้นคนติดตาม
จึงวู่วามหนีล่าแต่ท่าเดียว

จะชำแรกปฐพีไม่มีผล
ด้วยจิตตนซ่านฟุ้งสะดุ้งเสียว
ให้วุ่นวนหวั่นหวาดสิ้นปราดเปรียว
ได้แต่เลี้ยวลดไปในพงพี

ฝ่ายนายพรานมองทันนั่นกระรอก
จึงรีบบอกสมุนให้ไปทางนี้
กระรอกไปแล้วหนาอย่าช้าที
รีบเร็วรี่ตามตรงคงไล่ทัน

ให้สังเกตปักษีที่มั่วสุม
บินเกาะกลุ่มกันดีขมีขมัน
ไม่เหินห่างกระรอกสูจงดูกัน
มันมุ่งมั่นไปสู่บูรพา

กระรอกน้อยฟันฝ่าทุ่งนาร้าง
อันเวิ้งว้างกว้างไกลให้อ่อนล้า
หวังเข้าสู่ดอนใหญ่ใกล้ท้องนา
ซ่อนกายาจากพรานผลาญชีวี

ฝ่ายพวกพรานล้าเมื่อยแสนเหนื่อยเหน็ด
ต้องระเห็จเฝ้าไพรในครั้งนี้
อุตส่าห์ตามไล่ล่าทุกนาที
ยังไม่มีที่ใกล้จะได้ตัว

แบกปืนผาหน้าไม้สายธนู
เดินหดหู่ลัดทางพลางสั่นหัว
เห็นฝูงนกบินไปอยู่ไกลตัว
แต่ไม่มัวช้าเนิ่นจนเกินการ

สมัยนี้เรียกขานบ้านนาแบก
เป็นระแวกชุมชนคนกล่าวขาน
เพราะเมื่อยล้าแบกขนต้องทนทาน
จึงเรียกขานตามเรื่องต่อเนื่องมา

กระรอกสีขาวเผือกกระเสือกกระสน
สู้ดิ้นรนข้ามทุ่งไปไม่รอช้า
ผ่านหมู่บ้านยางหล่อต่อเนื่องมา
เห็นหลังคาบ้านดอนเงินไม่เกินไกล

ตามตำนานกล่าวไว้ในแถบนี้
เคยเป็นที่ชุมชนคนอาศัย
มีอาชีพสำคัญนักเป็นหลักชัย
หล่อเงินทองยองใยได้งดงาม

รางสำหรับดำเนินหล่อเงินทอง
มีมากมายก่ายกองใช่สองสาม
จากรางหล่อผิดเพี้ยนเมื่อเวียนกาล
มาเรียกขานยางหล่อชัดปัจจุบัน

ชื่อดอนเงินเป็นนามเพราะความนี้
เจ้าภังคีอ่อนเพลียทั้งเสียขวัญ
ได้วิ่งผ่านถิ่นดอนตอนกลางวัน
แล้วถลันเข้าป่าสูงริมทุ่งนา

ในแนวป่าเร็วลู่สู่ทิศเหนือ
เหน็ดเหนื่อยเหลือจึงพักเข้ารักษา
หมดเรี่ยวแรงพักก่อนผ่อนกายา
ในดงป่าแถแลอันแออัด

จากชีวิตสุขสบายในใต้น้ำ
ดั่งถูกตอกหอกซ้ำด้วยกรรมซัด
เก็บกินยอดแถแลพอแก้ขัด
พอยืนหยัดประทังชีพที่บีบคั้น

ป่าแถแลบัดนี้มีบ้านคน
ประชาชนอยู่ดีในที่นั้น
จากแถแลเรียกเพี้ยนเปลี่ยนคำกัน
ปัจจุบันบ้านแชแลแปรวาจา

ส่วนพรานกงมุ่งหน้าล่าติดตาม
ไม่ละความพยายามมุ่งตามหา
สนองความจำนงองค์ธิดา
ใกล้เข้ามากระชั้นหันหาพลาง

ภังคีมองจ้องเห็นเพชฌฆาต
ใจหวั่นหวาดเมื่อเห็นจึงเผ่นผาง
จากป่าแถแลไปไม่เว้นวาง
มุ่งไปทางแนวพนาปราจีนทิศ

ถึงดงดอนป่าใหญ่หนามไหน่แน่น
กระรอกแสนเหนื่อยนักพักสักนิด
ฟุบกับเซิงกอไผ่ในดงชิด
หลับสนิททันทีที่หลับตา

บรรดานาคทั้งหลายที่รายล้อม
จึงตั้งป้อมเข้ายามตามประสา
ตามความคิดของสูผู้นาคา
กลายเป็นว่าชี้เป้าให้เจ้าพราน

เพราะหมู่นกกราวกรูอยู่ทางไหน
พรานกงได้จำแนกอย่างแตกฉาน
กระรอกดงคงอยู่คู่บริวาร
จึงคืบคลานเข้าตรงไม่หลงทาง

เห็นหมู่นกวนดูอยู่กับที่
ไม่เร็วรี่หนีคอนดั่งตอนสาง
กระรอกต้องอยู่ใกล้ไม่ไกลพราง
คิดช่องทางโอบล้อมจอมนาคี

สั่งสมุนระวังอย่าพลั้งพลาด
ให้เปรียวปราดน่าชมสมศักดิ์ศรี
ย่องย่างเบาอย่าให้เสียงสำเนียงมี
ใครตาดีเห็นกระรอกค่อยบอกกัน

ค่อยย่องเข้าดงไผ่สายตาจ้อง
ต่างมุ่งมองนาคแปลงอย่างแข็งขัน
ทันใดพรานกงจ้องมองเห็นพลัน
จึงให้สัญญาณสมุนหนุนเข้ามา

ส่งสัญญาณเหนี่ยวไกให้พร้อมกัน
เมื่อเร็วพลันต้องถูกสักลูกหนา
ทั้งธนูหน้าไม้ได้เล็งมา
เสียงพรึกพรึบลั่นป่าพนาไพร

คราวเคราะห์หนุนบุญช่วยไม่ม้วยมอด
ให้เล็ดลอดชีวันทันสมัย
พอดีตื่นตาเห็นว่าเป็นภัย
ตกพระทัยพุ่งโผนโจนทะยาน

รอดชีวิตเฉียดฉิวหวีดหวิวเสียว
ถากนิดเดียวเพราะได้บุ่งไผ่สาน
เบี่ยงเบนลูกหน้าไม้ของนายพราน
จึงทะยานหลบหนีรอดชีวิต

เหล่าบริวารจำแลงแปลงเป็นนก
ตื่นตระหนกเพราะพลาดไม่คาดคิด
เจ้านายเกือบดาวดิ้นสิ้นชีวิต
เพราะความผิดนาคีที่หลับยาม

ที่ตรงนั้นคือเมืองพรึกที่คึกคัก
ที่พำนักคนดีศรีสยาม
เคยเป็นป่ามาเป็นเมืองรุ่งเรืองงาม
เรียกชื่อตามสำเนียงเสียงธนู

นายพรานทรุดนั่งนิ่งเมื่อยิงพลาด
มาประมาทกิ่งไผ่ป่าน่าอดสู
ให้ขัดข้องเคืองแค้นแน่นอกกู
จึงบอกหมู่สมุนพรานชำนาญดง

..........<มีต่อ>


ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๒ โดย.พี่กิตติธร




 
 ตอนที่ ๑๒


เจ้าหญิงน้อยยืนงงตรงพระแกล
ชายเนตรแลวิหคอกหวั่นไหว
ดูเหตุการณ์ประหลาดขลาดจิตใจ
ในทันใดเห็นร่างเจ้าภังคี

กระรอกแปลงได้พบประสบพักตร์
ปลื้มใจนักได้ยลสาวในคราวนี้
ช่างงามสมคำกล่าวชาวธานี
หนุ่มนาคีมองเหม่อเผลอพระทัย

โอ้เนื้อนวลนงพะงาโสภานัก
ทั้งดวงพักตร์เอวองค์ทรงสมัย
หมู่นางนาคมาณวิกาว่าวิไล
ไม่ต้องใจภังคีเท่านี้เลย

ยิ่งเพ่งพิศพุ่มพวงดวงสมร
ยิ่งอาวรณ์ร้อนรักพักนิ่งเฉย
เฝ้าเหลือบแลครุ่นคิดอยากชิดเชย
อยากเกลือกเกยกกกอดยอดนารี

เจ้าหญิงน้อยมองไปได้แลเห็น
ให้ตื่นเต้นตื่นตายอดยาหยี
ไม่เคยเห็นมาก่อนถอนฤดี
ใจเต้นถี่อยากได้ไว้เชยชม

คงเพราะกรรมนำแต่งแรงอาฆาต
เคยหมายมาตรกรรมหลังอันสั่งสม
ผูกเวรไว้วิบากหลากอารมณ์
ทั้งขื่นขมโกรธรักปักกมล

เกิดอยากได้กระรอกดีตัวนี้นัก
เจ้างามพักตร์สั่งไปไม่สับสน
สูทั้งหลายรีบไปในบันดล
ทุกทุกคนเร็วไวไปจับมา

จับกระรอกด่อนดีนี้ให้ได้
อย่าให้ใครฟาดฟันมันเจียวหนา
จับให้ได้เป็นเป็นเห็นชีวา
กัลยาตรัสสั่งเสียงกังวาน

สิ้นเสียงใช้ในวังก็วิ่งวุ่น
อำมาตย์ขุนเสนารักษ์สมัครสมาน
ทั้งบ่าวไพร่นางสนมกรมภิบาล
รีบลนลานมองหาไม่ช้าที

เห็นกระรอกอยู่บนต้นพฤกษา
หมดปัญญาจับทันมันหลบหนี
เสนาหนึ่งเอ่ยออกบอกวจี
งานอย่างนี้ท่านทั้งหลายต้องนายพราน

อันว่าพรานยุคนี้ที่ฝีมือ
ขจรชื่อเมืองเราต่างกล่าวขาน
นามจำได้ไม่หลงคือกงพราน
อย่าช้านานให้ใครไปตามมา

บ้านอยู่ทางหรดีตามชี้ทิศ
ไม่อยู่ชิดกับใครผู้ใดหนา
เมื่อเรียกหาตามวจีพระธิดา
จะรีบมาตามดำรัสที่ตรัสพลัน

บ้านพรานกงเรียกกันในวันนี้
เป็นเครื่องชี้ความแน่ไม่แปรผัน
บ้านกงพรานชี้ชัดปัจจุบัน
ยังเรียกกันให้รู้คู่แผ่นดิน

ไม่นานนักพรานกงตรงมาถึง
ดูขันขึงแกร่งกล้าดุจผาหิน
รีบเข้าเฝ้าอนงค์ตามจงจินต์
แม่โฉมฉินสั่งพลันในบันดล

อันกระรอกวิ่งวนบนต้นงิ้ว
โลดละลิ่วอวดพราวสีขาวขน
กระดิ่งทองคล้องอยู่คู่คอตน
จงหาหนทางใดไปจับมา

พรานครุ่นคิดวิธีที่แน่แท้
เห็นเพียงแต่จับตายกันนั่นแหละหนา
อันจับเป็นเห็นยากหนักอุรา
จึงบอกนายหญิงข้าว่ายากแท้

แม้ข้าน้อยคอยจับเจ้ากระรอก
ไม่อาจบอกเป็นตายคงได้แผล
โอกาสสิ้นชีวีที่คิดแล
ดูเที่ยงแท้กว่าที่มีชีวิต

ข้าน้อยจนใจทำตามดำรัส
ที่ทรงตรัสสั่งมาข้าสิ้นคิด
ไม่อาจจับเป็นให้ไว้เชยชิด
พระทรงคิดครวญใคร่ในบันดล

พระนางไอ่คำอึ้งคะนึงคิด
กรรมลิขิตอาเพศเป็นเหตุผล
ทรงดำรัสตรัสไปในบันดล
นฤมลสั่งพรานชำนาญไพร

ว่าเอาเถิดพ่อพรานจัดการเข้า
ไม่ว่าเอากระรอกมาวิชาไหน
จะเหลือเพียงร่างกายหรือหายใจ
พ่อจงได้เร่งทำดำเนินการ

ฝ่ายพรานกงซื่อตรงอนงค์ตรัส
รีบเร่งรัดว่องไวตามไขขาน
กลับเรือนเตรียมเครื่องมือล่าไม่ช้านาน
แล้วนายพรานแบกปืนคืนกลับวัง

ฝ่ายกระรอกตัวปลอมไม่ยอมหนี
หลงนารีสุดฝืนคืนกลับหลัง
เฝ้าวุ่นวนเลาะเลียบระเบียบวัง
บางครั้งนั่งเหม่อจ้องมองไอ่คำ

นายพรานเตรียมปืนผาทั้งหน้าไม้
ธนูไว้พร้อมพรักเผื่อยากเข็ญ
ลูกสมุนพร้อมหน้าคราจำเป็น
ได้รับใช้เนื้อเย็นเป็นเกียรติตน

รีบกลับมาเวียงวังเจ้านางน้อย
พระนางคอยกระวนกระวายเป็นหลายหน
กลัวกระรอกสูญญาจากตาตน
เฝ้ามองจนพรานไพรครรไลมา

ฝ่ายกระรอกเพลินใจไม่ไปไหน
อยากอยู่ใกล้ไอ่องค์ตรงนั้นหนา
ไม่รู้ตัวอันตรายย่างกรายมา
เอาแต่ชมพักตรานวลนารี

ฝ่ายพรานกงย่างย่องจับจ้องเล็ง
ตาเขม็งเพ่งพบไม่หลบหนี
ได้จังหวะจับเจาะเหมาะพอดี
ยกหน้าไม้คู่ชีวีหรี่ตาพลัน

ทันใดนั้นพลนาคีที่หลากหลาย
ที่แปลงกายมาด้วยช่วยผ่อนผัน
งูกระแตนกกาสารพัน
ต่างให้สัญญาณดังแก่ภังคี

ภุชงค์แปลงหลบภัยได้ฉับพลัน
ตื่นตระหนกอกสั่นจนขวัญหนี
เผ่นผาดโผนโจนหนีสุดชีวี
เจ้าภังคีอกสั่นขวัญกระเจิง

ร้องเรียกหมู่บริวารทำการช่วย
เกือบมอดม้วยเพราะตัวมัวแต่เหลิง
เหล่านาคาปลอมแปลกแตกกระเจิง
ที่เถิดเทิงกลับคืนเป็นตื่นภัย

เสนานาคต่างล้อมจอมภุชงค์
แล้วพาตรงสู่ตะวันสายัณห์สมัย
ตะวันใกล้ชิงพลบเร่งหลบภัย
ในพระทัยภังคีนั้นแสนหวั่นกลัว

ดอนใหญ่น้อยซ้อนซับนับเป็นพัน
เบื้องหน้านั้นอัดแอแลสลัว
ป่าพันดอนพงพนาดูน่ากลัว
หลบซ่อนตัวป้องกันอันตราย

มาบัดนี้เรียกขานบ้านพันดอน
อนุสรณ์เครื่องชี้เป็นที่หมาย
ว่าตรงนี้เคยซ่อนตนสกนธ์กาย
ของลูกชายเจ้าบาดาลเมื่อนานมา

กระรอกแปลงซ่อนกายไม่ได้นาน
ด้วยนายพรานชาญเชี่ยวแลเหลียวหา
ค่อยจดจ้องย่องเบาย่างเข้ามา
ใกล้กายาภังคีทุกทีไป

เหล่าเสนารีบบอกกระรอกน้อย
เจ้าตัวจ้อยพรึงพรั่นอกหวั่นไหว
รีบยักย้ายกายโผนกระโจนไป
เร่งครรไลจากที่นั้นในทันที

ออกจากพันดอนดงมุ่งลงใต้
เร่งเร็วไวข้ามดอนแก้วรีบแจวหนี
ถึงดงเยอนั่นหนอค่ำพอดี
เจ้าภังคีพักผ่อนนอนเอาแรง

..........<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๑ โดย. พี่กิตติธร


 ตอนที่ ๑๑


.....ครั้นยามสายกษัตราต่างมาเฝ้า
ทูลลาเจ้าแผ่นดินกลับถิ่นฐาน
หากจะอยู่ต่อไปให้เนิ่นนาน
ราชการตนไซร้จักไม่ดี

เจ้าศรีแก้วทองพันชั่งทั้งหงสา
เจ้าเชียงเหียนทูลลาพระยาศรี
เชียงเชิดจอมนคราเจ้าธานี
อีกทั้งพระมเหสีที่คู่กัน

ครั้นฟ้าแดดเข้ามาทูลลากลับ
ทั้งสองซับเหงื่อไคลไม่สุขสันต์
กายขยับตาขยิบกระซิบกัน
เขาคงมั่นมาทวงดวงใจเรา

เจ้าฟ้าแดดยิ้มแย้มจิตแจ่มใส
สำราญใจในอุรามาแต่เช้า
บรรยากาศธานีของพี่เรา
ทั้งเย็นเช้าร่มรื่นชื่นอุรา

ไม่คิดหาพาหลานกลับบ้านเมือง
ให้ขุ่นเคืองอุระพระเชษฐา
รู้ว่าพี่รักหวงดั่งดวงตา
อีกทั้งผาแดงเล่าเขารักกัน

ส่วนตนรักเนื้อเย็นดั่งเป็นบุตร
เจ้านงนุชก็เป็นเช่นจอมขวัญ
อยากเห็นเจ้าเป็นสุขทุกคืนวัน
ไม่คิดบั่นทอนใจผู้ใดเลย

ศรีเชียงเชิดถามผู้อนุชา
เอาอย่างไรว่ามาน้องข้าเอ๋ย
เจ้าฟ้าแดดตรัสมาไม่ว่าเลย
เพียงจะเอ่ยล่ำลาพี่ข้าไป

จะกลับเมืองวันนี้แล้วพี่ท่าน
ราชการยังมีที่แก้ไข
ขอทูลลาพี่ทั้งสองอย่าหมองใจ
กาลต่อไปคงได้มาเยี่ยมหากัน

แล้วรางวัลของเจ้าจะเอาไง
เจ้าชนะบั้งไฟในแข่งขัน
เจ้าฟ้าแดดนั่งตรงนิ่งงงงัน
แล้วก็พลันนึกถึงซึ่งหลานตน

อ้อเรื่องนั้นเชษฐาอย่าพะวง
เจ้าเนื้อนวลอนงค์คงสับสน
แม้พระองค์ก็ทรงคิดจิตกังวล
พระกมลคงทุกข์ไร้สุขใจ

ข้าพระองค์รักหลานว่าหลานรัก
เคยเห็นพักตร์กัลยามาแต่ไหน
ไม่คิดจะช่วงชิงยอดหญิงไป
เจ้าหลานไอ่จงอยู่คู่นคร

อยู่กับพ่อกับแม่แลปวงญาติ
มุขอมาตย์มนตรีมีสลอน
อีกมากมายไพร่ฟ้าประชากร
ชาวนครต่างรักยิ่งเจ้าหญิงตน

ขอเจ้าพี่ทั้งสองครองคู่มั่น
เป็นมิ่งขวัญบรรลุอุดมผล
รักษาสุขภาพบ้างอย่าร้างตน
ประชาชนจักได้ร่มอีกนมนาน

เจ้าฟ้าแดดลาเสร็จเสด็จกลับ
มิได้รับเอาพธูผู้เป็นหลาน
สองกษัตริย์โล่งใจกระไรปาน
ที่เหตุการณ์เปลี่ยนไปไม่คาดเลย

รีบเรียกลูกมาพลันในทันที
บอกเรื่องราวข่าวดีนี่ลูกเอ๋ย
เจ้าฟ้าแดดคนดังไม่หวังเลย
ไม่คิดเชยนงเยาว์พาเจ้าไป

เมื่อเหตุการณ์กลับเห็นเป็นดังนี้
ดวงฤดีทุกท่านเคยหวั่นไหว
ต่างปลาบปลื้มเปรมปรีดิ์ล้วนดีใจ
รักนางไอ่กับผาแดงสาดแสงพลัน

เจ้าไม่มัวพะนอเฝ้ารอช้า
วันต่อมาผาแดงใจไม่เหหัน
รีบลากลับนครามาโดยพลัน
เพื่อเตรียมวันพิธีมีมงคล

จักสู่ขอยอดพธูผู้งามพักตร์
ด้วยความรักเกาะกุมทุกขุมขน
ได้กำหนดฤกษ์ดีมีมงคล
แล้ววุ่นวนเตรียมงานในทันใด

อีกสองเดือนนั่นหนาอาสาฬห์มาส
จะพาญาติมนตรีมีเชื้อไข
ทั้งประชาไพร่พลระคนไป
ขอเจ้าไอ่คำอินทร์ถวิลมา.

☼.....ย้อนกล่าวถึงภังคีผู้มีศักดิ์
กรรมนำชักติดตรึงคะนึงหา
วุ่นวายคิดใฝ่ฝันแต่กันยา
แม้ดวงหน้าไม่เคยยลสักหนที

จะนั่งยืนเหยียดกายหรือว่ายน้ำ
นามไอ่คำคาใจไม่หน่ายหนี
ยิ่งครุ่นคิดยิ่งอยากเห็นเป็นทวี
ใจนาคีร้อนรุ่มดั่งสุมไฟ

ยิ่งได้ยินข่าวคราวเจ้าไอ่คำ
ต้องใจจำแต่งงานยิ่งหวั่นไหว
ว่าต้องแต่งกับอาฟ้าแดดไป
เจ้ากลัดกลุ้มจิตใจไม่ยอมนอน

ให้กระสับกระส่ายวุ่นวายจิต
คร่ำเคร่งคิดครวญใคร่ไม่ถ่ายถอน
คิดไม่ตกกลัดกลุ้มเป็นลุ่มดอน
ไม่หลับนอนข้าวปลาไม่หากิน

ตัดสินใจอีกครั้งมุ่งหวังยล
นฤมลเพ็ญโพยมแม่โฉมฉิน
ลอบหนีจากนคราแหล่งนาคิด
ดั่งลูกนกโผผินบินจากรัง

พาบริวารมาเกลื่อนเป็นเพื่อนพรรค
เผื่อยากนักยังมีที่ให้หวัง
ครั้นจะมาผู้เดียวเสียวระวัง
ด้วยเจ้าภังคีนั้นก็หวั่นใจ

ครั้นถึงถิ่นมนุษย์หยุดพินิจ
พากันคิดแปลงร่างพรางกายไว้
เป็นเดรัจฉานร่างต่างกันไป
นาคส่วนใหญ่เป็นปักษีมีปีกบิน

เจ้าภังคีแปลงออกไม่ยอกย้อน
กระรอกด่อนขาวล้วนชวนถวิล
แขวนกระดิ่งกาญจนาคู่กายิน
นาคทั้งสิ้นกลายร่างต่างเพศไป.

☼.....จะกล่าวถึงการะเกดเขตบุรี
อรุณีสาดฟ้าพาสดใส
รุ่งทิวาแสงทองผ่องอำไพ
ช่อไสวไม้ดอกออกเบ่งบาน

พระพายโชยเอื่อยเอื่อยระเรื่อยเบา
บรรยากาศยามเช้าสุดกล่าวขาน
เสียงกระซิบสายน้ำจากลำธาร
ทั้งแว่วหวานปักษีที่รอบราย

หอมกรุ่นกลิ่นบุษบาสู่นาสิก
ยังมีอีกมวลผีเสื้ออันเหลือหลาย
เจ้าไอ่คำแช่มชื่นระรื่นกาย
เย็นสบายยามเช้าเจ้ายินดี

เมื่อพธูอยู่ห้องพระสำอาง
ทรงเยื้องย่างใคร่ครวญนวลฉวี
ผัดพระพักตร์มุ่นเกศาแต่งกายี
ในทันทียินเสียงสำเนียงดัง

เสียงนกการ้องแผกดูแตกตื่น
ไม่แช่มชื่นรื่นกมลดุจหนหลัง
เสียงแซ่ซ้องร้องแปลกระแวกวัง
สุ้มเสียงดังรอบที่พักตำหนักนาง

ชาวเมืองเห็นวิปริตผิดวิสัย
ดุจเป็นนัยอัปรีย์มีผีสาง
ให้คิดเห็นเป็นเหตุอาเพศลาง
พูดต่างต่างนานาว่าไม่ดี

เมื่อวันก่อนบั้งไฟเกิดระเบิดแตก
วันนี้แปลกหลากล้วนมวลปักษี
แข่งประชันขันเสียงสำเนียงมี
รอบตำหนักนารีศรีนคร

คงเกิดเป็นลางร้ายไม่คาดคิด
จึงวิปริตบอกทางลางสังหรณ์
พากันคิดหวั่นผวาอนาทร
ว่านครจักเกิดเหตุอาเพศใด

..........<มีต่อ> 

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๐ โดย. พี่กิตติธร





 ตอนที่ ๑๐


.....ในที่สุดฟุบลงตรงที่นอน
เฝ้าทอดถอนหวั่นผวาน่าสงสาร
เสียงร่ำไห้ร้าวดวงแดแม่ดวงมาลย์
ทั้งต่อขานวิปโยคโชคชะตา

สิ้นหมดแล้วสิ่งไรไรในชีวิต
กรรมลิขิตให้เป็นเช่นนี้หนา
เมื่อไม่ได้ชีวิตอิสรา
ยังจะมีชีวาหาอะไร

เจ้าคร่ำครวญร้าวรอนกับหมอนข้าง
บรรดานางกำนัลยิ่งหวั่นไหว
รีบเข้ามาปลอบบังอรให้ผ่อนใจ
ให้ทรงได้มีสติดำริตรอง

ครั้นไม่นานจอมวงศ์องค์ราชา
ทรงเสด็จเข้ามาหน้าหม่นหมอง
มเหสีตามหลังเข้าวังทอง
ต่างหม่นหมองกลุ้มใจดั่งไฟลน

ตามด้วยท้าวผาแดงผู้แรงรัก
ด้วยพระพักตร์หดหู่ดูสับสน
นึกถึงว่าต้องพรากจากกมล
ยิ่งสับสนซึมเศร้าปวดร้าวใจ

ศรีเชียงเชิดผู้พ่อขอรับผิด
แต่สุดคิดมืดดำทำไฉน
ได้แต่ปลอบแล้วยืนฝืนถอนใจ
แล้วครรไลจากห้องของธิดา

แสนขึ้งแค้นเคืองโกรธด้วยโอษฐ์ตน
ไม่ดูเหตุไม่ฟังผลไม่ปรึกษา
เอาแต่ตามใจกูผู้ราชา
เอ่ยวาจาพร่ำไปไม่ไตร่ตรอง

ถึงต้องเสียธิดาในครานี้
ชลธีนองหน้าราชาผยอง
ฝ่ายพระนางจามปาน้ำตานอง
โอบประคองลูกเจ้าเศร้าจาบัลย์

แล้วจากนั้นวางมือที่ถือพักตร์
ลาลูกรักตามสามีที่เสียขวัญ
พร้อมด้วยเหล่าบริวารธารกำนัล
ทยอยกันออกมาจากรานี

โดยปล่อยให้กษัตริย์หนุ่มที่กลุ้มจิต
อยู่เป็นมิตรไอ่คำน้องที่หมองศรี
ทั้งสองโผหากันในทันที
ณ นาทีทวารปิดบานลง

ร่ำสะอื้นซบตนกับคนรัก
เกลือกพระพักตร์ดั่งใจใกล้เป็นผง
สิ่งที่เคยมุ่งหวังตั้งจำนง
ทลายลงสิ้นไปในพริบตา

ว่าพี่จ๋าเหตุการณ์เป็นปานนี้
ร้าวฤดีเหลือที่จะสรรหา
น้องไม่อาจเคืองโกรธโทษบิดา
แต่ภายหน้าต้องเผชิญดำเนินไป

น้องจะต้องเป็นสมบัติขัตติยะ
ขององค์พระเจ้าอาฟ้าแดดไท้
ไม่ทราบว่าพระองค์ผู้ทรงชัย
จะทรงให้น้องอยู่คู่พระองค์

ในฐานะเยี่ยงใดกระไรเล่า
มิอาจเดาความคิดจิตประสงค์
ของฟ้าแดดขัตติยะผู้ทะนง
น้องอยากปลงชีวินให้สิ้นลม

ท้าวผาแดงกอดนางไว้กลางอก
หวั่นวิตกกล้ำกลืนแสนขื่นขม
ด้วยพลาดหวังนงพะงามาเชยชม
จำต้องข่มด้วยสมบัติขัตติยา

ดำริว่ามีหวังที่ยังเหลือ
ตรงเลือดเนื้อเชื้อไขไฉนหนา
เจ้าฟ้าแดดอาจคิดจิตเมตตา
รักกัลยาน้องนางอย่างเอ็นดู

จึงบอกว่าสงบใจเถิดไอ่น้อง
อย่าร่ำร้องกำสรดให้อดสู
ยังมีหวังร่วมเรียงเคียงพธู
โฉมตรูอย่าร้อนถอนพระทัย

เจ้าฟ้าแดดอาจไม่ได้หวังน้อง
เป็นคู่ครองเชยชิดพิสมัย
อาจเอ็นดูนงรามเจ้าทรามวัย
ด้วยพระทัยคิดเห็นเช่นบุตรตน

ผาแดงหนุ่มปลอบใจเจ้าไอ่คำ
ด้วยเลิศล้ำวาจาดีมีเหตุผล
เจ้าหญิงน้อยค่อยอ่อนผ่อนกมล
สติตนค่อยทวนหวนกลับคืน

ต่อไปนี้รอเวลาจักมาถึง
แม้พรั่นพรึงจักข่มใจมิให้ฝืน
คำบิดาตรัสขาดมิอาจคืน
แม้กล้ำกลืนจักทำตามวาจา

สิ่งที่หวังอยู่ที่องค์เจ้าสงยาง
จะรักนางเยี่ยงไรไฉนหนา
เจ้าฟ้าแดดพระองค์คงเมตตา
ในฐานะปิตุลาภาติยะ

สองพระองค์ปลอบพระทัยให้แก่กัน
แม้หวาดหวั่นขื่นขมตรมอุระ
แต่เพียงใจเข้าใจไม่เปะปะ
รักเราจะคงมั่นนิรันดร.

☼.....จะกล่าวถึงภังคีผู้มีศักดิ์
อยากยลพักตร์พิศพวงดวงสมร
ในอกอัดอึงอลปนนิวรณ์
โอ้บังอรทำไฉนจักได้ยล

ครั้นทราบข่าวเรื่องการจัดงานใหญ่
บุญบั้งไฟเดือนวิสาข์ดูน่าสน
พระยาขอมประกาศกล้าต่อหน้าคน
ยกกมลไอ่นางเป็นรางวัล

เจ้าภังคีหงุดหงิดจิตเร่าร้อน
ไม่อาจผ่อนฤดีที่กระสัน
ตัดสินใจมุ่งหน้ามาโดยพลัน
เมื่อถึงวันแข่งบั้งไฟชิงไอ่คำ

มิได้บอกบิดาเจ้านาคี
เจ้าหลบหนีขึ้นไปจากใต้น้ำ
แล้วแปลงร่างเป็นนราตาดำดำ
ไม่อาจจำแนกได้ว่ากายปลอม

เที่ยวงานบุญบั้งไฟไปกับคน
ด้วยหวังยลกันยาธิดาขอม
แต่ไม่พบยอดหญิงกิ่งพะยอม
เจ้านางขอมที่หวังตั้งใจมา

ด้วยไม่รู้ความเป็นไปในมนุษย์
นาคีบุตรไม่มีที่จะหา
ผู้คนมาร่วมงานจนลานตา
ไม่อาจหาไอ่คำดั่งจำนง

วัฒนธรรมประเพณีที่มาเห็น
ไม่ได้เป็นดังคิดจิตประสงค์
ให้ตื่นตาหันร่างอย่างงุนงง
เจ้าภุชงค์สับสนกับตนเอง

ทั้งไม่รู้ผังเมืองอันเรืองยศ
ที่กำหนดจัดวางอย่างเหมาะเหม็ง
จึงเร่าร้อนกลุ้มใจไม่ครื้นเครง
เดินรีบเร่งหาไปในฝูงชน

ทั้งไม่คิดถามไถ่ให้ได้ความ
ไม่กล้าถามถึงพธูให้รู้ผล
ว่านางอยู่แห่งใดในมวลชน
ดูพิกลปัญญาเจ้านาคี

เดินไปกับหมู่ชนจนเย็นย่ำ
ไม่เห็นเงาคนงามตามวิถี
ทั้งไม่รู้จะหานางอย่างไรดี
เจ้าภังคีซบเซาเศร้าอุรา

จึงหอบความผิดหวังกลับวังน้ำ
ยิ่งตอกย้ำครุ่นคิดปริศนา
จักต้องมีวันพบสบกัญญา
ลูกนาคามุ่งหวังตั้งหทัย.

☼.....ครั้นรุ่งเช้าอรุณแจ้งแสงสาดฟ้า
ชทิตาเคยรื่นรมย์สมสมัย
ทุกวันทั่วเขตคามยามอุทัย
ต่างอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

อยู่เป็นสุขตลอดมาทั้งตาปี
เพลานี้ดั่งโลกก็โศกศัลย์
แลไปทั่วเย็นเยียบดูเงียบงัน
ดั่งสวรรค์แกล้งสาปบาปบันดาล

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๙ โดย. พี่กิตติธร

ตอนที่ ๙


.....คนส่วนใหญ่รอชมตามร่มไม้
ต่างจดใจรอเห็นเป็นสักขี
ครั้นได้ฤกษ์เบิกยามอันงามดี
พราหมณ์พิธีก็เดินดำเนินการ

บั้งไฟแรกจุดบูชาพระยาแถน
อยู่เมืองแมนไกลลิบทิพย์สถาน
ผู้ดูแลฟ้าฝนดลบันดาล
พราหมณ์ตั้งจิตอธิษฐานบันดาลไป

อันพระองค์รุ่งเรืองอยู่เมืองแมน
พระยาแถนจะเห็นเป็นไฉน
พวกข้าน้อยจิตตั้งเสี่ยงบั้งไฟ
ให้ท้าวไท้ช่วยแสดงแผลงฤทธี

ถ้าฝนฟ้าจะตกคู่ฤดูกาล
จงทะยานเวหาสง่าศรี
หากว่าฝนขาดฟ้าเป็นกาลี
ธรณีเหือดแห้งแล้งธารา

ขอบั้งไฟอย่ารุ่งพุ่งทะยาน
อยู่กับฐานคงมั่นนั่นแหละหนา
อธิษฐานเสร็จลงคงวาจา
ชาวประชาโห่ร้องก้องกังวาน

ทั้งเสียงฆ้องกลองตามขึ้นสามครั้ง
แล้วจุดบั้งหวังให้พรากไปจากฐาน
แต่อาเพศเหตุใดไม่รู้การณ์
ฟู่กับฐานควันโขมงไม่โปร่งใจ

และไม่นานจากนั้นพลันระเบิด
บั้งไฟเกิดแตกพลันสนั่นไหว
ประชาชนกำสรดสลดใจ
ให้หวั่นไหวกลัวฟ้าชะตาเมือง

อันเมืองขอมสำราญอยู่นานมา
ชาวประชาพลไพร่ได้คุยเขื่อง
มาบัดนี้ประกาศฟ้าชะตาเมือง
คงไม่เรืองสำราญดังนานมา

บ้างก็กลัวเกิดมีกลียุค
กลัวเพาะปลูกทำไปไร้ฝนฟ้า
คิดหวาดกลัวไร้น้ำเมื่อทำนา
ทั้งปูปลาตามหนองคลองไม่มี

เกิดกังวลครุ่นคิดจิตวิตก
ในหัวอกไหวหวั่นดุจขวัญหนี
ต่างสลดหดหู่ไม่สู้ดี
จากพิธีเสี่ยงทายทำนายดวง

ในอันดับต่อไปบั้งไฟแข่ง
เพื่อจะแย่งรางวัลอันใหญ่หลวง
เพื่อให้เกียรติผู้ใหญ่กว่าใครปวง
จึงให้ช่วงพระยาขอมจอมธานี

ให้ได้จุดบั้งไฟขึ้นไปก่อน
เจ้านครทั้งหลายเห็นเป็นสักขี
ไฟชนวนจุดไต้ไม่รอรี
เปลวอัคคีฟุ้งฟู่สู่บั้งไฟ

เสียงระเบิดเหลือล้ำกัมปนาท
บั้งฉีกขาดพื้นสั่นสนั่นไหว
ผู้คนต่างตกตลึงสะพรึงใจ
ไม่มีใครส่งเสียงสำเนียงดัง

ด้วยกลัวหัวไม่ทนอยู่บนบ่า
พระราชาเสียงแหบแทบสิ้นหวัง
พระชายาน้ำตาหยดหมดพลัง
ด้วยความหวังตั้งไว้ทะลายลง

สองกษัตริย์เป็นลมตรมฤดี
เหล่านารีสนมในไม่ใหลหลง
รีบเข้ามาลำลองประคององค์
แล้วรีบส่งยาดมยาลมพลัน

ไหนบั้งไฟเสี่ยงชะตามาระเบิด
นี้ยังเกิดกับบั้งเราเข้าแข่งขัน
โอ้ไอ่คำลูกข้าคงจาบัลย์
คงเสียขวัญเพราะลางร้ายใกล้เข้ามา

แต่ยังเหลือผาแดงเป็นแรงหวัง
หากว่าบั้งของท่านทะยานฟ้า
ยิ่งกว่าใครในหมู่ผู้ราชา
จะกู้หน้ากู้ขวัญในบันดล

ในลำดับครรลองของเชียงเหียน
ได้พากเพียรจุดไฟเป็นหลายหน
ครั้นจุดได้ก็ระเบิดเกิดอลวน
กระจายหล่นจากฟ้าพางงงัน

เมืองศรีแก้วเมืองหงส์คงลำดับ
เมืองทองนับต่อไปในทีนั้น
น่าประหลาดแปลกใจอะไรกัน
ทุกบั้งนั้นแตกสิ้นหมดชิ้นดี

ยังคงเหลือของพระอนุชา
นามเจ้าฟ้าแดดองค์ผู้ทรงศรี
กับผาแดงผู้หวังปองครองนารี
ชาวธานีจึงมีเรื่องคุยเฟื่องกัน

ต่างขบคิดปริศนาหากำหนด
ผู้ทรงยศสองไท้ไฉนนั่น
เจ้าฟ้าแดดนั่นหนาอาหลานกัน
ถ้าท้าวท่านพลันชนะจะอย่างไร

เมื่อได้ตัวเนื้อเย็นผู้เป็นหลาน
พระองค์ท่านจะวางไว้ข้างไหน
จะแต่งพระธิดาฐานะใด
จึงต่างได้อวดโอ่โต้เถียงกัน

อีกคนหนึ่งรำคาญจึงขานกล่าว
พวกไท้ท้าวมาแสดงเข้าแข่งขัน
ไม่ได้มุ่งเข้ามาท้าพนัน
อันรางวัลไม่มีใครอยากได้เลย

มีแต่ท้าวผาแดงที่แข่งชิง
เพื่อองค์หญิงยอดหวังฟังเฉลย
ที่จริงเรื่องไม่น่ามาเกิดเลย
เหนือหัวเอ่ยเพราะโกรธโทษผาแดง

ครั้นจะเอ่ยกลับคำที่จำนรรจ์
ก็อัดอั้นเป็นราชาพาขัดแย้ง
ตอนนี้จึงหวังแลแต่ผาแดง
จะแสดงบั้งไฟเอาชัยชาญ

ถึงอันดับต่อไปได้ขึ้นราง
เจ้าฟ้าแดดแห่งสงยางร่างอาจหาญ
รีบสั่งจุดบั้งไฟไม่ช้านาน
พลันทะยานพวยพุ่งรุ่งเรืองรอง

บั้งทะยานควันขาวราวมีชีพ
พุ่งสู่กลีบเมฆสลัวไม่มัวหมอง
ชาวสงยางดีใจได้คะนอง
ต่างโห่ร้องไชโยโอ้อวดกัน

ท้าวผาแดงคือหวังครั้งสุดท้าย
จะเสมอหรือพ่ายในแข่งขัน
เป็นความหวังกษัตริย์ขอมจอมราชัน
ไอ่คำนั้นยิ่งหวั่นพรั่นฤทัย

เมื่อบั้งไฟสุดท้ายได้เตรียมพร้อม
พวกชาวขอมชายหญิงยิ่งหวั่นไหว
ครั้นสิ้นเสียงคำสั่งจุดบั้งไฟ
ชั่วอึดใจต่อมาชาวธานี

ต่างได้ยินกึกก้องท้องสนาม
บั้งไฟงามหมดจดเคยสดศรี
กลับเป็นเศษเกลื่อนกระจายรายปฐพี
ประชาชีต่างร้องก้องตะโกน

บั้งผาแดงแตกแล้วแจ้วแจ้วเสียง
ฟังสำเนียงเสียงประหลาดไม่ผาดโผน
ชะตากรรมตั้งไว้ไม่อ่อนโยน
ไม่เอนโอนข้างใครในโลกา

แล้วแต่กรรมสรรสร้างร่างลิขิต
ดลบันดาลชีวิตให้สุขา
หรือเป็นทุกข์ปวดแปลบแสบอุรา
ล้วนแต่กรรมสร้างมาพาเป็นไป

ทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ไม่เรรวน
มาประมวลมั่นคงไม่หลงใหล
บันดาลสั่งเสริมทุกข์หรือสุขใจ
แล้วแต่กรรมของใครได้กระทำ

อันจิตใจชาวขอมต่างตรอมตรม
พลอยระทมห่วงนงรามแม่งามขำ
เจ้าหญิงน้อยนวลอนงค์องค์ไอ่คำ
จะชอกช้ำเยี่ยงไรไม่อยากคิด

การะเกดเวียงวังเจ้านางน้อย
สุดเศร้าสร้อยมองไปไร้ชีวิต
ดูยะเยือกเยียบเย็นจนจับจิต
นางนิ่งคิดน้ำตาคลอรออยู่นาน

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๘ โดย. พี่กิตติธร


...ตอนที่ ๘

.....ที่มีการแสดงแข่งบั้งไฟ
แม้นของใครน่าชมสมศักดิ์ศรี
พุ่งทะยานผ่านฟ้าเหนือธานี
ข้าจะมีนวลนางเป็นรางวัล

ข้าจะยกธิดาผู้น่าดู
ให้กับผู้มีชัยในแข่งขัน
อันดำรัสพระองค์ทรงยืนยัน
ไม่แปรผันมั่นตรงคงวาจา

บรรดาหมู่ราชาพามึนงง
ว่าพระองค์เพ้อไปหรือไรหนา
มเหสีสะกิดกายอยู่หลายครา
แต่พระยาขอมไท้ไม่เปลี่ยนแปลง

กลับลุกขึ้นประกาศดังเป็นครั้งสอง
ต่างเมืองผองดีใจทั่วหัวระแหง
แต่ชาวชทิตาพาระแวง
สงสารแน่งพระธิดาจะอาดูร

ต่างเห็นอกเห็นใจองค์ไอ่คำ
จะชอกช้ำชีวินดังสิ้นสูญ
อันคนรักพรากไปไม่เกื้อกูล
ยังอาดูรเพราะพ่อเห็นเป็นรางวัล

ต่างซึมเศร้ามึนงงกับโองการ
ที่ประทานแก่หมู่ผู้แข่งขัน
พาวิตกจับกลุ่มชุมนุมกัน
เหตุผกผันวันสนุกกลับทุกข์ใจ

☼.....จะกล่าวถึงผาแดงผู้แรงรัก
มั่นคงนักรักเดียวไม่เหลียวไหน
รักไอ่องค์ทรงยศอย่างหมดใจ
พระองค์ได้มุ่งมั่นดั้นด้นมา

เตรียมขบวนบั้งไฟได้ตกแต่ง
เพื่อเข้าแข่งชิงชัยไม่ให้ช้า
หัวบั้งไฟจำหลักสลักมา
เป็นรูปหัวนาคาสง่างาม

แกะสลักเสกสรรด้วยจันทน์หอม
ลำตัวย้อมสีสง่าน่าเกรงขาม
ตัดติดแผ่นทองเปลวไม่เลวทราม
ลำตัวตามรูปนาคาสง่าองค์

จัดขบวนเตรียมการไม่นานเสร็จ
รีบเสด็จเดินทางไปไม่ลืมหลง
เคลื่อนขบวนพร้อมสรรพประดับองค์
เดินทางลงสู่ชทิตามหานคร

อนิจจาเกิดเหตุอาเพศภัย
ฟ้าสดใสกลับสลัวทั่วสิงขร
ฝนตกหนักมืดมัวทั่วอัมพร
เหล่ากุญชรตกตมติดหล่มกัน

อสนีประกาศกล้าม้าแตกตื่น
ไม่อาจฝืนกายทรงคงเสียขวัญ
ฝนตกหนักห่าใหญ่ในอรัญ
ไม่เป็นอันเดินทางระหว่างไพร

ดังเทวาฟ้าแกล้งสำแดงเหตุ
ว่าจะเกิดอาเพศเหตุการณ์ใหญ่
ขบวนบั้งจึงช้ากว่าใครใคร
มาถึงได้ตอนเช้าเข้าพิธี

เหล่าอำมาตย์รีบเดินดำเนินงาน
รับจัดการขบวนบั้งอย่างเร็วรี่
ส่วนผาแดงรีบไปในทันที
ขอเข้าพบดรุณีที่รอคอย

การะเกดเขตบุรีที่งดงาม
พระนงรามแสนเศร้าสุดเหงาหงอย
นอนไม่หลับตลอดคืนฝืนรอคอย
เจ้าเนื้อกลอยดั่งไฟรุมสุมอุรา

ครั้นผาแดงมาถึงจึงตื่นเต้น
แม่เนื้อเย็นดีใจไหนจะหา
แต่ก็ทั้งเสียใจในเวลา
ที่ผาแดงทรงมาช้าเกินวัน

พระนางรีบครรไลไปต้อนรับ
ในลำดับทราบเรื่องไม่เคืองขวัญ
พร้อมทั้งส่งเสนาในไปโดยพลัน
รีบกราบทูลเหนือหัวท่านในทันใด

ครั้นเสร็จเรื่องดำรัสที่จัดการ
ทรงตัดพ้อต่อขานเป็นการใหญ่
ส่วนผาแดงทราบเรื่องราวสุดร้าวใจ
ถึงกับอ่อนเปลี้ยไปในทันที

แม้ผาแดงจักพะนอขอโทษหญิง
แต่ทุกสิ่งดำเนินเกินหลีกหนี
ยังมีหวังบั้งไฟถ้าชัยมี
ต้องได้ที่หนึ่งนั้นในการชิง

จึงกำชับหมู่ช่างดูบั้งไฟ
ต้องทำให้ดีเหลือเพื่อยอดหญิง
ต้องเลิศรุ่งพุ่งไปเมื่อได้ยิง
เพื่อแย่งชิงนวลปรางนางไอ่คำ

ต่างหมกมุ่นครุ่นคิดกลัวผิดหวัง
ประดุจดังหนามยอกให้ชอกช้ำ
วิปโยคโศกเศร้าเข้าครอบงำ
แต่ก็จำกล้ำกลืนฝืนทะนง

ได้แต่มองหน้ากันด้วยหวั่นจิต
เหตุการณ์ดลกังวลคิดพิศวง
อะไรก็เกิดได้ไม่มั่นคง
จำต้องปลงปล่อยตามความที่เป็น

มีหวังเพียงบั้งไฟได้ชนะ
ทั้งสองพระเชื้อพระวงศ์ลงความเห็น
หากไม่อยู่คู่ครองต้องลำเค็ญ
ต่างทรงเห็นใจกันไม่ผันแปร

กล่าวถึงองค์ราชาพระยาขอม
ก็ทรงตรอมฤดีดังมีแผล
ยิ่งชายาปั้นปึ่งถลึงแล
ทรงได้แต่กลุ้มทรวงดวงกมล

ด้วยดำรัสตรัสไปไม่ยั้งคิด
โทสะจิตสุดระงับให้สับสน
จึงพลุ่งพล่านออกไปดุจไฟลน
กว่าจะมารู้ตนก็จนใจ

มีแต่นึกเสียใจได้ทำผิด
ไม่อาจคิดผันแปรไปแก้ไข
เมื่อตรัสแล้วหากเวียนเปลี่ยนคำไป
ประชาไทไหนเล่าจะเคารพ

นึกว่าท้าวผาแดงมันแปลงจิต
มันไม่คิดรักซึ้งจึงหลีกหลบ
จึงโกรธขึ้งโกรธาไม่น่าคบ
กว่าจะพบว่าผิดไปก็สายเกิน

ยิ่งพระนางจามปาต่อว่าใหญ่
ในพระทัยอึดอัดด้วยขัดเขิน
มองทุกอย่างขวางตาไม่พาเพลิน
ได้แต่เดินไปมาทั้งราตรี

ไม่ได้หลับคิดหนักพระพักตร์หมอง
จวบอรุณสีทองอันผ่องศรี
จึงได้ทราบเรื่องราวมีข่าวดี
ว่ายังมีบั้งไฟครรไลมา

เป็นของท้าวผาแดงแต่งขบวน
ไม่เรรวนแต่ท่านมีปัญหา
ในขณะเดินทางกลางพนา
เกิดฝนฟ้าตกแรงดั่งแกล้งดล

นายทะเบียนทูลกราบให้ทราบความ
จึงให้ตามผาแดงแถลงผล
สองพระองค์ดีใจคลายกังวล
ทราบเหตุผลทราบเรื่องสิ้นเคืองใจ

แต่ทุกอย่างยังเป็นไปตามได้ตรัส
ที่ดำรัสไม่อาจแปรสุดแก้ไข
เหลือความหวังประลองสองบั้งไฟ
แม้ของใครมีชัยในประชัน

จะรักษาไอ่องค์ให้คงอยู่
เจ้าโฉมตรูจักไม่ต้องเป็นของขวัญ
จักอยู่เย็นเป็นสุขทุกคืนวัน
จงช่วยกันอวยชัยให้ชนะ

ครั้นเวลาบั้งไฟใกล้จะจุด
คนรีบรุดกันไปไม่ลดละ
มามากมายหลายหมู่ดูเกะกะ
หวังที่จะอยู่ชมให้สมปอง

บั้งไฟถูกลำเลียงเทียบเคียงร้าน
ต่างเตรียมการเต็มที่ไม่มีหมอง
ส่วนบางกลุ่มร้องเพลงบรรเลงกลอง
บ้างประลองกลอนร่างอย่างกวี

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๗ โดย. พี่กิตติธร



...ตอนที่ ๗


.....และเชียงเหียนหลานข้าอย่าลืมเชิญ
หากหมางเมินเคยรักจักหน่ายหนี
รีบส่งสาส์นเชิญไปในธานี
ให้ท่านท้าวบุรีนี้โดยไว

ฝ่ายที่สองให้ช่วยอำนวยการ
คอยต้อนรับขับขานในงานใหญ่
เตรียมต้อนรับแขกเมืองเรืองไผท
จงอย่าให้ขาดตกบกพร่องเชียว

จัดสถานลานพิธีให้ดีเลิศ
อย่าให้เกิดแคลนขาดพาหวาดเสียว
จัดทุกสิ่งให้อุดมดูกลมเกลียว
ผู้มาเที่ยวต่างเมืองจักเลื่องลือ

และฝ่ายสามวางผังเมืองให้เรืองฤทธิ์
ให้บรรดาปัจจามิตรคิดนับถือ
จัดเวรยามตรวจไว้ให้พอมือ
ใครอย่าถือก่อการอันน่ากลัว

ท่านจงรีบจัดแจงตกแต่งเถิด
ให้ดีเลิศตามกล่าวเจ้าเหนือหัว
งานที่ตรัสจัดวางอย่างลงตัว
ไม่ต้องกลัวขัดเคืองจากเมืองใด

ด้วยเคยจัดทุกปีไม่มีขาด
หมู่อำมาตย์ยิ้มย่องจิตผ่องใส
งานทั้งมวลไม่ยากลำบากใจ
จัดเตรียมได้เรียบร้อยคอยเวลา

☼.....กาลเวลาผกผันถึงวันที่
ค่ำสิบสี่มาเยือนเดือนวิสาข์
ก่อนวันงานวิสาขะจะบูชา
ชาวพาราตื่นเต้นอยากเห็นงาน

โดยเฉพาะบั้งไฟที่จะมีแข่ง
คงสำแดงสามารถอย่างอาจหาญ
บั้งไฟของแต่ละองค์คงสะคราญ
อลังการสวยสง่าคงน่าดู

ก่อนวันงานค่ำสิบสี่จึงมีแห่
คนมาแลบั้งไฟแข่งแต่งสวยหรู
ประดับสีหลากหลายให้น่าดู
ให้เลิศหรูน่าชมสมเจ้าเมือง

เสียงเพลงขับเถิดเทิงเซิ้งบั้งไฟ
แล้วแห่ไปทั่วเขตคามตามย่างเยื้อง
ซึ่งแสดงแต่งประกอบไปรอบเมือง
หลากหลายเรื่องสารพันจะสรรมา

บ้างแสดงลามกตลกกัน
บ้างล้อเลียนคนสำคัญเที่ยวสรรหา
เอามาล้อมาเล่นเป็นขวัญตา
ชาวประชาสนุกสนานสำราญใจ

บ้างแสดงวิถีของชีวิต
ต่างสรรคิดท่วงท่าเอามาใช้
การทอดแหหาปลาทำท่าไป
ทำพืชไร่นาสวนล้วนแสดง

บ้างแสดงสามารถนาฏศิลป์
ศิลปินรำร่ายไม่หน่ายแหนง
เอาดนตรีปี่พาทย์มาดัดแปลง
มาแสดงให้เห็นเป็นบุญตา

มีทั้งของเจ้าธานีที่จัดแจง
มาแสดงให้ดูว่าหรูหรา
และต่างเมืองที่เชิญดำเนินมา
ต่างสรรหาขบวนแหนจนแน่นเมือง

อันบั้งไฟของพระยาเจ้าธานี
ประดับสีดัดแปลงทั้งแดงเหลือง
ลวดลายศิลปกรรมประจำเมือง
จรัสจรุงรุ่งเรืองกว่าเมืองใด

แห่แหนเสร็จเก็บงำประจำที่
พลับพลาไชยในธานีที่เตรียมไว้
แล้วรวบรวมสำรวจตรวจบั้งไฟ
ที่ท้าวไท้แต่ละองค์ได้ส่งมา

เข้าแข่งขันชิงชัยในคราวนี้
ปรากฏมีหกเจ้าเท่านั้นหนา
มีสงยางของพระอนุชา
ฟ้าแดดเจ้าพระยามาก่อนใคร

เจ้าเชียงเหียนนัดดาก็มาพร้อม
หลานเจ้าขอมพระองค์ทรงผ่องใส
เจ้าศรีแก้วท่านมาเกือบช้าไป
แต่ทันได้ร่วมแห่แต่ยังวัน

ทางเมืองหงส์เจ้าหงสาก็มาเอง
ไม่หวั่นเกรงกลัวใครในแข่งขัน
ทรงชื่นชอบกอปรชัยในประชัน
อีกท้าวท่านทองพันชั่งที่มั่งมี

ผู้เป็นเจ้าเมืองทองครองพารา
ก็ทรงมาชิงชัยในครานี้
เสด็จถึงชทิตาแต่ราตรี
ก่อนวันที่แห่แหนแน่นนคร

บั้งที่หกนั่นหรือคือเจ้าบ้าน
ที่จัดงานใหญ่โตสโมสร
รวมเสร็จสรรพนับได้ไม่ขาดตอน
มีเพียงห้านครที่จรมา

ส่วนผาแดงนั่นไซร้ไม่เห็นเงา
มิมาเข้าพิธีนี้เลยหนา
จนถึงกาลเย็นย่ำค่ำเวลา
ไม่เห็นหน้าราชาแห่งผาโพง

ภายในวังการะเกดเขตบุรี
เจ้าไอ่ศรีดวงใจให้เหวงโหวง
เมื่อสนมแจ้งเรื่องเมืองผาโพง
ไม่ออกโรงมาแสดงแข่งบั้งไฟ

คนรายงานว่ามากมวลขบวนแข่ง
แต่ผาแดงไม่เห็นเป็นไฉน
ในขบวนรื่นเริงบันเทิงใจ
ไร้บั้งไฟผาแดงแรงฤทธี

องค์ไอ่คำน้ำตาหนอเอ่อคลอเบ้า
มือและเท้าเยียบเย็นเป็นซากผี
พระพี่เลี้ยงรีบพะนอไม่รอรี
เข้าประคองทันทีที่เป็นลม

หายาหอมยาลมยาดมวุ่น
ที่หอมกรุ่นชื่นอุรามาปฐม
พยาบาลให้คลายหายเป็นลม
ทั้งปลอบให้คลายระทมตรมฤทัย

ปลอบว่าคงมีเหตุอาเพศนั่น
ท้าวผาแดงจึงไม่ทันกาลสมัย
ลองดูท่าทีก่อนผ่อนพระทัย
อรุณสมัยท่านคงมาไม่ช้านาน

ฟังคำปลอบสนมนางที่หวังดี
ให้นึกถึงไมตรีที่แสนหวาน
เพิ่มความหวังเต็มทรวงแม่ดวงมาลย์
รัตติกาลผ่านไปคงได้เจอ

พระยาขอมยังประทับรับแขกเมือง
ที่ยาตรเยื้องกันมาหาเสมอ
บางท้าวท่านไม่ค่อยพบประสบเจอ
จึงเสนอราวเรื่องคุยเฟื่องกัน

ขณะนั้นนายทะเบียนเขียนบัญชี
ส่งรายชื่อปีนี้ที่แข่งขัน
ว่ามีมาห้าเมืองเรื่องสำคัญ
ทันใดนั้นจอมราชามีอาการ

ท้าวท่านโกรธเจ็บใจให้ผาแดง
หวาดระแวงถึงธิดาน่าสงสาร
มาหลอกรักลูกเราเจ้าคนพาล
พระเหงื่อกาฬเต็มหน้าพาเป็นลม

นางจามปารีบรับจับประคอง
ทั้งหันมองเรียกพลางนางสนม
เอายาหอมน้ำผ้าและยาดม
ประคบประหงมจนตื่นฟื้นฤดี

บ่นพึมพำร่ำหาธิดาตน
จิตกังวลลูกรักจักหมองศรี
ใครช่วยบอกลูกยาของข้าที
ท้าวผาแดงไม่ดีที่ไม่มา

มันไม่รักลูกยาอย่าเสียใจ
ไม่เป็นไรลูกหนอพ่อจะหา
ยังชายอื่นหมื่นพันอนันตา
ที่จะมาคู่ควรนวลอนงค์

ตั้งสติคิดเห็นเป็นแม่นมั่น
ลุกขึ้นพลันประกาศไปไม่ใหลหลง
ต่อหน้าเจ้าพาราทั้งห้าองค์
ว่าจะลงเดิมพันวันพรุ่งนี้

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๖ โดย. พี่กิตติธร


ตอนที่ ๖

.....จงดูแลขับสู้อยู่เจ็ดวัน
เป็นสำคัญยิ่งนักอย่าผลักไส
คอยแนะนำราวเรื่องประเทืองใจ
สิ่งใดใดอย่าขาดตกบกพร่องเลย

ครั้นทั้งสองใกล้ชิดสนิทกัน
ความสัมพันธ์ชายหญิงไม่นิ่งเฉย
เป็นความรักท่วมใจไร้เปรียบเปรย
ต่างเปิดเผยความนัยของใจกัน

ยิ่งใกล้ชิดยิ่งผูกรักสลักจิต
สองชีวิตรักจริงเป็นมิ่งขวัญ
ต่างเอ่ยออกวาจาสัญญากัน
จะรักมั่นจวบวันตายวายชีวี

ทั้งสัญญาเอ่ยคำจะนำเรื่อง
ที่รักเรืองผุดผ่องของเรานี้
ทูลถวายราชาขอมจอมธานี
หลังเสร็จงานประเพณีที่จะมา

ซึ่งเป็นบุญบั้งไฟอันใหญ่ยิ่ง
งานทุกสิ่งครบครันชวนหรรษา
เมื่อเสร็จงานยิ่งใหญ่วิไลตา
จะขอแม่ขวัญตาเป็นราชินี

เมื่ออยู่ครบเจ็ดราตรีที่กำหนด
ต่างสลดทุกข์ใจไร้สุขี
ผาแดงจำต้องพรากจากนารี
ดวงฤดีหนุ่มสาวเฝ้าอาวรณ์

โอ้ไอ่คำคนดีพี่ลากลับ
เจ้าคอยนับวันเรียงร่วมเคียงหมอน
รักของเราคงมั่นไม่สั่นคลอน
ไม่ต้องวอนเทพไท้ให้ช่วยดล

บุญบั้งไฟคราวนี้พี่มาแน่
ด้วยรักแม่นวลปรางอย่างเหลือล้น
เจ้าไอ่คำนวลอนงค์จงอดทน
ยอดกมลของพี่หนอจงรอคอย

หลังจากนั้นเข้าไปลาพระยาขอม
ผู้เป็นจอมชาวเมืองอย่างเงื่องหงอย
ด้วยอาลัยไม่อยากจากเนื้อกลอย
จึงเศร้าสร้อยลาลับกลับเมืองมา

☼.....จักกล่าวถึงนคราแห่งบาดาล
เป็นสถานฟูเฟื่องเรืองยศฐา
ที่พำนักสถิตอยู่หมู่นาคา
เจ้าพญานาคีศรีสุทโธ

เป็นราชานาคีผู้มีเดช
ครองอาเขตล่วงกาลมานานโข
อันเวียงวังครบถ้วนล้วนใหญ่โต
โอฬาโรล้วนเป็นทิพย์ระยิบไป

ศรีสุทโธมีบุตรสุดที่รัก
ผู้ทรงศักดิ์ซุกซนปนอ่อนไหว
ชื่อภังคีรูปงามถูกตามใจ
พ่อแม่ไซร้รักหวงดั่งดวงตา

คือบุญโปงที่เป็นใบ้ได้ไปเกิด
ถือกำเนิดนาคีมียศฐา
ด้วยผลกรรมที่สร้างแต่ปางมา
เจ้านาคาภังคีหนุ่มกลุ้มใจจริง

ด้วยยินข่าวสรรพางค์นางไอ่คำ
ว่างามล้ำใครใครเห็นเป็นยอดหญิง
ต่างรับรองนงรามว่างามจริง
หวังแอบอิงเนื้อทองผ่องอำไพ

นึกรุ่มร้อนดุจไฟไหม้อุระ
อยากที่จะแอบแลแม่เนื้อใส
ไม่เป็นอันจดจำทำอะไร
กินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับองค์

ให้บังเกิดมโนภาพซาบซึ้งจิต
เป็นนิมิตรูปทรามวัยให้ใหลหลง
แม้มิเคยประสบพบอนงค์
จิตลุ่มหลงสิเหน่หาเฝ้าอาวรณ์

จึงทูลขอมารดาบิดานาค
ว่าลูกอยากพิศพวงดวงสมร
ใจของลูกว้าวุ่นครุ่นนิวรณ์
ให้เร่าร้อนอยากเห็นเป็นบุญตา

ได้ยินชื่อทรามวัยนางไอ่คำ
ว่างามล้ำสุปรีย์มียศฐา
ลูกขอไปยลพักตร์ลักขณา
แล้วจะมาบาดาลไม่นานไป

ภังคีขอไม่บรรลุอนุญาต
เธอไม่อาจรวนเรเถลไถล
ถูกทัดทานจากแม่พ่อก็จำใจ
เจ้าจึงได้แต่รุ่มร้อนถอนอุรา

โดยทั้งสองสอนให้ไตร่ตรองเหตุ
จะอาเพศแปลกไปไฉนหนา
อันมนุษย์ไม่อาจอยู่คู่นาคา
กรรมสร้างมาจงรู้ใช่คู่กัน

เอาเถิดหนาพ่อจะหานางนาคี
ที่โสภีพริ้งเพริศงามเฉิดฉันท์
มวลหมู่นางนาคาวิลาวัณย์
มีอนันต์นานาในบาดาล

ส่วนภังคีนิดเดียวไม่เหลียวแล
ทรงมีแต่นิ่งองค์น่าสงสาร
แม้นางนาคมากมวลล้วนสะคราญ
เจ้าเมินเฉยมองผ่านรำคาญใจ

ด้วยความรักเร้ารุมเป็นลุ่มหลง
จิตมั่นคงผูกพันไม่หวั่นไหว
ฝันอิงแอบนวลปรางไว้กลางใจ
แม้มิได้เคยพบประสบเจอ

เฝ้าฝันใฝ่ใจลอยคอยคิดถึง
สักวันหนึ่งคงพบนางหวังเสมอ
มั่นใจนักสักเวลาต้องมาเจอ
พบหน้าเธอยอดสตรีที่เลื่องลือ

☼.....ครั้นเมื่อวันวิสาข์ใกล้มาถึง
คล้ายวันซึ่งพระจอมไตรได้มาถือ
เอากำเนิดเกิดกายให้โลกลือ
แล้วได้ชื่อสิทธัตถะพระกุมาร

ยังคล้ายวันแจ้งชัดตรัสรู้
ประทับอยู่ใต้โพธิ์รโหฐาน
เอาชำนะจอมฟ้าพญามาร
ที่รุกรานไล่พระองค์ลงบัลลังก์

แล้วตรัสรู้อริยสัจแจ้งชัดเหตุ
ตัดกิเลสดองกมลแต่หนหลัง
กำเนิดใหม่ด้วยกายธรรมไร้กรรมบัง
ณ ริมฝั่งชลธารเนรัญชรา

สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์
พระทรงธรรม์ทำได้ไม่ศึกษา
จากสำนักใดใดในโลกา
พระสัมมารู้พ้นด้วยตนเอง

ทั้งยังคล้ายวันละพระสังขาร
พระองค์ท่านตรัสไว้ได้ถูกเผง
ทรงกำหนดวันลับดับขันธ์เอง
พระทรงเปล่งวาจาล่วงหน้านาน

เพ็ญเดือนหกสำคัญถึงปานนี้
จึงได้มีบูชามหาศาล
ประเพณีใหญ่โตแต่โบราณ
บูชาท่านทรงธรรมพระสัมมา

พระยาขอมจัดบูชาในครานี้
อลังการเหลือที่จะสรรหา
สุดที่จะจำนรรจ์พรรณนา
ทรงบูชานอบน้อมจอมมุนี

จึงตรัสสั่งอำมาตย์ราชการ
ให้เตรียมงานยิ่งใหญ่ในครานี้
จัดตกแต่งเวียงวังดังทุกปี
อย่าให้มีบกพร่องขุ่นข้องใจ

ให้จัดแบ่งมนตรีมีมากมาย
เป็นสามฝ่ายดูแลจัดแก้ไข
อันฝ่ายแรกจงแถลงแข่งบั้งไฟ
และแข่งกลองแจ้งไปในต่างเมือง

โดยกำชับกำชาว่าเมืองนี้
คือผาโพงธานีที่ลือเลื่อง
มีผาแดงไท้ท้าวเป็นเจ้าเมือง
ผู้รุ่งเรืองทรงฤทธิ์ทิศอุดร

เมืองที่สองสงยางอยู่ทางใต้
เยื้องออกไปตะวันออกไม่ยอกย้อน
เจ้าฟ้าแดดทรงทราบเรื่องกาพย์กลอน
ร่วมอุทรอนุชาของข้านี้

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๕ โดย. พี่กิตติธร



ตอนที่ ๕

ตัดสินใจลาเหย้าขึ้นเจ้าสาม
อาชางามตัวกล้าสง่าศรี
ร่างสมส่วนสีประดู่คู่ชีวี
แล้วรีบรี่มุ่งตรงลงใต้มา

มุ่งเป้าหมายชทิตามหานคร
หาบังอรร้อยเล่ห์เสน่หา
หวังได้พบประสบพักตร์เพียงสักครา
กัลยาไอ่องค์คงไมตรี

☼.....ณ ราตรีเดือนเรียวดุจเคียวเด่น
ดาราเย็นกระจ่างฟ้าสง่าศรี
หน้าต่างวังการะเกดเขตบุรี
ยอดนารีไอ่องค์ทรงเหม่อลอย

ยลดาราฟ้าผ่องกลับหมองจิต
เฝ้าครุ่นคิดจิตใจให้เหงาหงอย
นึกถึงรูปงามเหลือของเนื้อกลอย
กลัวจะพลอยเป็นเรื่องขัดเคืองกัน

ในอดีตเคยมีที่เป็นเรื่อง
ที่ขุ่นเคืองยื้อแย่งเข้าแข่งขัน
เกิดสงครามเข่นฆ่าท้าประจัญ
เข้าโรมรันเลือดกองนองปฐพี

อยากรีบมีคู่เรียงร่วมเคียงหมอน
นึกอ้อนวอนเทพองค์ผู้ทรงศรี
ทรงคันศรแผลงมาเป็นมาลี
ช่วยลูกทีให้ประสบได้พบพาน

หากชายชาติขัตติยามาขอรัก
จะไม่พักเล่นองค์ทรงสนาน
จะขอรับทันใดไม่รอนาน
ใครกล่าวขานว่าไม่งามก็ตามใจ

เพื่อป้องกันปัญหาอาจมาถึง
หญิงเพียงหนึ่งหากยื้อยุดสุดแก้ไข
จึงตั้งความหวังว่าถ้ามีใคร
มาขอรักจักให้ไม่เล่นองค์

มองดวงดาวดาษดื่นในคืนเปลี่ยว
ชมเดือนเรียวไม่แจ่มจิตพิศวง
จนดึกดื่นเข้ามาหลับตาลง
นวลอนงค์กระสับกระส่ายไม่คลายแคลน

☼.....รุ่งอรุณเบิกตาฟ้าสว่าง
เหล่านกกาจากรังดังแห่แหน
หาเสบียงเลี้ยงตัวทั่วเขตแดน
ไม่ขาดแคลนป่าดงคงสมบูรณ์

ชนชาวเมืองตื่นนอนแต่ก่อนเช้า
เตรียมหุงข้าวเตรียมแรงก่อนแสงสูรย์
แล้วทำมาหาเติมทรัพย์เพิ่มพูน
ทั้งเกื้อกูลมีน้ำใจให้แก่กัน

พากันเดินขวักไขว่ไปตามทาง
ค้าขายบ้างซื้อก็ได้ตามใจฉันท์
กิจวัตรเคยเห็นเช่นทุกวัน
แต่วันนี้สำคัญกว่าผ่านมา

ด้วยเมืองชทิตามหานคร
ได้รับต้อนแขกเมืองเรืองยศฐา
ซึ่งคือท้าวผาแดงแรงฤทธา
ทรงอาชามาแต่ไกลหวังไมตรี

เข้าเมืองมาทางทวารด้านอุดร
ตั้งแต่ตอนฟ้าสีทองอันผ่องศรี
รีบเดินทางด้วยอาชาทั้งราตรี
เพราะลุ่มหลงนารีที่เลื่องลือ

ทรงได้นำเครื่องราชบรรณาการ
ถวายท่านราชาน่านับถือ
เป็นธรรมเนียมเยี่ยมยามตามร่ำลือ
ที่ยึดถือกันมาโขแต่โบราณ

เพื่อสมัครรักใคร่มีไมตรี
อันเป็นราชประเพณีที่สืบสาน
ข่าวผาแดงนำเครื่องราชบรรณาการ
เพียงมินานก็รู้ถึงหูนวล

นางสนมกรมในได้ส่งข่าว
ธิดาสาวพราวเสน่ห์จิตเหหวน
ดั่งมีมนต์แรงฤทธิ์ดลจิตนวล
ให้รัญจวนหฤทัยอยากได้ยล

ดุจมีไฟร้อนรุ่มมาสุมอก
ตื่นตระหนกหวั่นไหวใจสับสน
อยากเห็นหน้าราชันในบันดล
นฤมลรีบออกไปในทันที

ชวนสนมคู่ใจไปด้วยกัน
แอบมองผ่านม่านทองอันผ่องศรี
หวังเห็นหน้าผาแดงแรงฤทธี
ว่าจะมีรูปทรงองค์เช่นไร

พระยาขอมจอมกษัตริย์จัดต้อนรับ
ยินดีนับไมตรีดีไฉน
รับเครื่องราชผาแดงไม่แคลงใจ
สนทนาปราศรัยด้วยไมตรี

กษัตริย์หนุ่มทูลเกล้ากับเจ้าบ้าน
พร้อมนงคราญจอมเสน่ห์มเหสี
ของราชาพระยาขอมจอมบุรี
ด้วยไมตรีเกี่ยวดองทั้งสองเมือง

แต่จิตใจผาแดงผู้แรงฤทธิ์
อยากเชยพิศพักตร์พธูผู้ลือเลื่อง
จึงสอดส่ายสายตาท่าชำเลือง
แต่ก็กลัวขัดเคืองเบื้องยุคล

ส่ายสายตาจนพบประสบพาน
ตาประสานหวั่นไหวใจสับสน
เจ้าไอ่คำก็ตะลึงอึงกมล
จิตพิกลรัญจวนปั่นป่วนพลัน

ดั่งองค์พระกามเทพผู้เหน็บศร
บุษปกรจากฟ้ามาเสกสรร
แผลงธนูดอกไม้ปักใจพลัน
ต่างไหวหวั่นพรั่นพรึงตะลึงตน

กาลเวลาประดุจหยุดคล้อยเคลื่อน
ดั่งดาวเดือนตะวันค้างกลางเวหน
ราวหยุดลมหายใจในบันดล
ทั้งสองคนตะลึงเซ่อเหม่อลอยองค์

อันว่าองค์ราชินีศรีโสภา
พระจามปาเคียงข้างดุจนางหงส์
เคียงคู่เจ้าศรีเชียงเชิดประเสริฐองค์
พระอนงค์พอใจในเหตุการณ์

ด้วยชื่นชมผาแดงผู้แรงเดช
ทอดพระเนตรเห็นงามตามคำขาน
ทั้งทรงทราบสามารถอาจการงาน
ปกครองบ้านครองเมืองจนเลื่องลือ

ทอดพระเนตรกิริยาราชาหนุ่ม
ดูนวลนุ่มแต่แกร่งกล้าน่านับถือ
คิดในใจหทัยมั่นหมายปั้นมือ
อยากจะยื้อเกี่ยวดองหมายปองกัน

ทรงเห็นเหตุพรั่นพรึงตะลึงแล
ผู้เป็นแม่ยินดีมีสุขสันต์
แอบสะกิดพระหัตถ์ขวาสามีพลัน
ว่าดูนั่นเสด็จพี่มีอะไร

สองพระองค์ทราบเรื่องไม่เคืองจิต
กลับยิ่งคิดตรงกันนั่นไฉน
คิดว่าลูกผูกพันรักกันไป
คงสดใสทั้งสองเมืองเลื่องลือนาน

มเหสีพิสุทธิ์ถึงหลุดโอษฐ์
ว่าทรงโปรดเสียจังหวังสืบสาน
เห็นเหมาะสมกันยิ่งดุจกิ่งกาญจน์
เกี่ยวประสานใบหยกคู่ชูฤดี

พระยาขอมเพลินใจได้สติ
จึงดำริตรัสถามตามวิถี
ท่านอุตส่าห์เดินทางกลางราตรี
ถึงที่นี่เพราะเหตุอาเพศใด

ท้าวผาแดงสะดุ้งตื่นฝืนประหม่า
ตอบแก้เก้อไปว่าตัวข้าไซร้
เป็นผู้น้อยรุ่งเรืองอยู่เมืองไกล
หวังรับใช้จอมเมืองเบื้องยุคล

จะขอฝากชีวีอันมียศ
เป็นโอรสต่างเมืองไซร้ไม่สับสน
กับพระองค์เหนือเกล้าเจ้ากมล
โปรดทรงดลความเห็นให้เป็นจริง

พระยาขอมพอใจในคำตรัส
จึงดำรัสมอบหมายให้ลูกหญิง
เป็นธุระราชาอย่าประวิง
ให้องค์หญิงต้อนรับประทับใจ

<มีต่อ>


ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๔ โดย.พี่กิตติธร



ตอนที่ ๔

อาศัยแสงเดือนสว่างส่องทางเดิน
ออกเผชิญอันตรายไม่หน่ายหนี
หวังแต่พบดวงหน้าของสามี
แม้จะตีดุด่าไม่ว่าเลย

ระหกเหินซัดเซพเนจร
ใจอาวรณ์ช้ำฟกโอ้อกเอ๋ย
ไม่ได้เห็นแม้เงาเจ้าใบ้เลย
มันไม่เคยปราณีมีเยื่อใย

สามทิวาราตรีที่ถูกทิ้ง
แม่ยอดหญิงเคยครองความผ่องใส
มาบัดนี้ซูบซีดผิดไปไกล
เสื้อผ้าใส่วิ่นขาดอนาถตน

ทั้งปวดหิวหนาวเหน็บด้วยเจ็บไข้
อุตส่าห์ไปตามทางอย่างหวังผล
เหลือบเห็นต้นมะเดื่อใหญ่ในบันดล
ดีใจล้นรู้กินได้ไม่มีพิษ

จำได้จากสามีที่กินนำ
เจ้าจดจำขึ้นใจได้สนิท
เก็บลูกร่วงกินพอต่อชีวิต
บรรเทาพิษของไข้คลายหิวลง

ในราตรีเดือนแรมแซมดารา
หนาวกายาแต่ใจไม่ลืมหลง
ตั้งสติกำหนดไว้ให้มั่นคง
แล้วอนงค์ถอนใจฤทัยตรม

นางหมดสิ้นความคิดติดตามผัว
ไร้หวาดกลัวแต่เจ็บแค้นแสนขื่นขม
จึงยกมือขึ้นประชุมพุ่มพนม
ตั้งจิตข่มนิ่งเย็นเป็นพิธี

อธิษฐานเทพไท้เป็นพยาน
อยู่ลำธารพำนักมีศักดิ์ศรี
อยู่ต้นไม้ดินฟ้าบรรดามี
อยู่วิมานสุขีที่ใดใด

ในชาตินี้ข้าน้อยเฝ้าคอยตาม
เจ้าผัวทรามข้ารักมันผลักไส
ทั้งทอดทิ้งชอกช้ำระกำใจ
แม้เกิดชาติใดใดที่มีจริง

ขอให้ผัวกลับจิตมาคิดรัก
หลงใหลข้ายิ่งนำดุจยักษ์สิง
เฝ้าติดตามลืมหลังหวังแอบอิง
แล้วมาตายยังกิ่งอุทุมพร

อนึ่งขอพรานไพรใจฉกรรจ์
เป็นมิ่งขวัญเคียงคู่อนุสรณ์
ได้ครองรักคู่กันไม่สั่นคลอน
ตามบั่นทอนผัวร้ายที่ใจดำ

อธิษฐานเสร็จลงไม่ปลงจิต
หมกมุ่นคิดดวงแดแม่งามขำ
ทุกข์เทวษวิปโยคโศกครอบงำ
นางชอกช้ำจนดาวดิ้นสิ้นชีวี

เจ้าคำหอมขาดใจในพนา
ตำนานมาแต่หลังเป็นดังนี้
เป็นเรื่องเก่าเล่าขานมานานปี
กว่าจะมีเมืองล่มก็นมนาน

☼.....กาลเวลาล่วงไปไม่ผกผัน
ต่างดับขันธ์ไม่อยู่คงตามสงสาร
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายล้วนวายปราณ
ในวัฏฏะสงสารที่ผันวน

ต่างสร้างบาปสร้างบุญหนุนชีวิต
กรรมตามติดต่อไปตามให้ผล
เมื่อกรรมชั่วที่ทำตามมาดล
แม้เป็นคนก็ทุกข์ไร้สุขใจ

แม้กรรมดีทำไว้ไม่หายสูญ
คอยเกื้อกูลตามสนองให้ผ่องใส
เมื่อกำเนิดเกิดมีในที่ใด
ชีวิตไซร้ย่อมสุขทุกคืนวัน

แต่ต่างคนต่างใจให้สรรสร้าง
ทำบุญบ้างบาปก็ทำไปตามฉันท์
เมื่อบุญบาปให้ผลบันดลพลัน
สุขก็มีทุกข์ก็ดันเปลี่ยนผันแนว

คนทั้งสามผูกจิตอดีตชาติ
เป็นบุพเพสันนิวาสไม่คลาดแคล้ว
กรรมเคยทำตามตลอดไม่จอดแจว
จึงไม่แคล้วได้ประสบมาพบพาน

ในกาลนั้นยังมีชติตา
นคราเลิศล้ำตามคำขาน
บ้างเรียกเอกะทีตามานมนาน
คนโบราณเรียกแผกแตกต่างคำ

บ้างก็เรียกชทิตามหานคร
เกียรติขจรชูเชิดว่าเลิศล้ำ
ประชาชนอยู่ดีมีงานทำ
คนคลาคล่ำทั่วไปในธานี

อยู่ในยุคขอมเฟื่องเรืองอำนาจ
เอกราชยิ่งใหญ่ในแดนนี้
เจ้าครองเมืองเรืองเดชเขตธานี
ประชาชีทูลเกล้าเจ้าพระยา

ศรีเชียงเชิดจอมเมืองผู้เรืองเดช
ครองอาเขตราษฎร์รักเป็นนักหนา
มเหสีทรงนามนางจามปา
ให้กำเนิดธิดาโสภาองค์

เป็นคำหอมกำเนิดมาเกิดใหม่
ทรงวิไลนุ่มนวลชวนลุ่มหลง
นามไอ่คำอินทร์ถวิลปิ่นเผ่าพงศ์
ปิตุรงค์รักหวงดั่งดวงตา

มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งน้ำผึ้ง
งามประหนึ่งนางสวรรค์บนชั้นฟ้า
เลื่องระบือลือไปไตรโลกา
ทั้งมนุษย์เทวานาคาครุฑ

ต่างอยากยลโฉมพิไลนางไอ่คำ
ที่งามล้ำเหนือใครในมนุษย์
เจ้าพระยาธานีไม่มีบุตร
มีนงนุชบุตรีนี้เพียงองค์

ทรงทะนุทรงถนอมทรงกล่อมเลี้ยง
ระวังเพียงไข่ในหินจินต์ประสงค์
จัดสร้างวังส่วนตัวรั้วมั่นคง
จัดปลูกดงพฤกษานานาพันธ์

มวลมาลีชูดอกออกดาษดื่น
หอมระรื่นรอบรั้วทั่วเขตขัณฑ์
สารพัดบุษบาวิลาวัณย์
ชื่อวังนั้นการะเกดเขตบุรี

อันน้ำหอมหากปิดสนิทมั่น
ยังกักกันกลิ่นได้ไม่ไหลหนี
แต่ความงามธิดาเจ้าธานี
แม้จักมีวังส่วนตัวกลัวแพร่งพราย

แต่ไม่อาจปิดไว้ได้นานทน
ประชาชนยังระบือเลื่องลือหลาย
ความวิไลไอ่คำจึงกำจาย
บรรดาชายต่างใฝ่เห็นเป็นบุญตา

กล่าวถึงพรานใจกล้าก็มาเกิด
ถือกำเนิดองอาจวาสนา
ได้ดำรงวงศ์กษัตริย์ขัตติยา
พระฉายาผาแดงท้าวเจ้าไผท

ได้ครองเมืองผาโพงอันทรงศรี
ตั้งอยู่ที่ลุ่มน้ำโขงน่าหลงใหล
ยังไม่มีชายามาคู่ใจ
พระทรงไชยเอกองค์ทรงรูปงาม

กระแสเสียงร่ำลือชื่อไอ่คำ
ที่งามล้ำลือไปในโลกสาม
ถึงผาโพงแผ่กระจายขยายความ
ว่านงรามงามล้ำสุดจำนรรจ์

ด้วยบุพเพกตาแต่คราโน้น
ดุจดั่งโดนมนต์เสน่ห์เล่ห์สวรรค์
ท้าวผาแดงยินคำร่ำลือกัน
พระองค์พลันซึมเซ่อจิตเหม่อลอย

เคยเกรียงไกรลือนามสนามรบ
กลับมาซบซึมเซื่องนั่งเงื่องหงอย
ละเมอหาไอ่คำพร่ำเลื่อนลอย
เจ้าเนื้อกลอยจะสะคราญสักปานใด

จะขอยลวงพักตร์เพียงสักนิด
ให้ดวงจิตหม่นหมองพลันผ่องใส
กษัตริย์หนุ่มรุ่มร้อนดุจฟอนไฟ
สุมดวงใจเร่าร้อนถอนฤดี

<มีต่อ>

ตำนานรักผาแดง-นางไอ่ ตอนที่ ๓ โดย. พี่กิตติธร



ตอนที่ ๓

อาบน้ำเสร็จมองหาอาหารใหม่
มะเดื่อใหญ่ใกล้ทางข้างถนน
ราวกับว่าเทพประทานบันดาลดล
ล้วนด้วยผลสุกย้อยห้อยตามกิ่ง

เจ้าบุญโปงรี่ปีนกินมะเดื่อ
กินไม่เผื่อแผ่ไปให้ยอดหญิง
แม้นางร่ำบอกผัวรัวระวิง
ว่าหิวจริงโปรดช่วยน้องด้วยซี

โปรดโยนลูกมะเดื่อมาเผื่อด้วย
พี่ไม่ช่วยน้องคงม้วยในคราวนี้
น้องไม่เคยปีนป่ายในชีวี
โปรดปราณีขอมะเดื่อมาเผื่อกัน

ฝ่ายเจ้าผัวกินอยู่แต่ผู้เดียว
หาได้เหลียวแลเมียที่เสียขวัญ
กินจนอิ่มเต็มกายสบายมัน
แล้วก็พลันไต่ตรงลงที่ดิน

เจ้าคำหอมอับจนสุดทนหิว
ใจหวิวหวิวแค้นตัวผัวใจหิน
มัวงอนง้อต่อไปไม่ได้กิน
ต้องจำจินต์ปีนขึ้นฝืนจำนง

ตั้งแต่เกิดไม่เคยด้นขึ้นต้นไม้
แต่เพราะหิวจนไส้จะเป็นผง
รีบเก็บกินพอได้คลายหิวลง
อิ่มอนงค์เย็นย่ำค่ำพอดี

ครั้นปีนลงยังโคนต้นมะเดื่อ
สุดเหลือเชื่อเจ้าใบ้คนใจผี
เอากิ่งไม้หนามไหน่ไว้คอยที
มิให้มีทางลงตรงที่โคน

ส่วนตัวมันหนีหายไปอื่นแล้ว
ทิ้งเมียแก้วเนื้อกลอยไว้ห้อยโหน
ทำกับนางช่างใจบาปแสนหยาบโลน
แล้วเผ่นโผนหนีหายไปลับตา

เจ้าเก็บของแล้วข้ามห้วงน้ำไป
ไม่สนใจเมียไหนจะไห้หา
ทิ้งคำหอมคู่กันภรรยา
แล้วแรมลาจากไปไม่ไยดี

ฝ่ายคำหอมกว่าจะปลงลงถึงพื้น
แสนกล้ำกลืนหนามไหน่ต้องให้หมองศรี
ครั้นมองหาผัวกูคู่ชีวี
ไม่เห็นเงาสามีที่รอบกาย

นางคาดเดาเขาคงข้ามห้วงน้ำแล้ว
ผัวคงแจวหลีกลี้หลบหนีหาย
ทิ้งตนอยู่คู่พงเปลี่ยวสุดเดียวดาย
พร้อมกับอันตรายรอบกายนวล

คิดจะข้ามน้ำไปไฉนนั่น
แสนหวาดหวั่นรวนเรจิตเหหวน
แม่น้ำใหญ่ไม่รู้ลึกตรึกคร่ำครวญ
เจ้าเรรวนไม่กล้าข้ามห้วงน้ำไป

ครั้นจะอยู่นั่งลงที่ตรงนี้
หวั่นฤดีสางเสือเหลือไฉน
ทั้งผีป่าบังบดโขมดไพร
หริ่งเรไรก้องพนาพาขวัญบิน

เสียงนกฮูกอีเห็นเป็นคราวครั้ง
กลัวจนหลั่งน้ำตาพาถวิล
เสียงส่ำสัตว์แมลงไพรที่ได้ยิน
นางหมดสิ้นหนทางก้าวย่างเดิน

นั่งซุกอิงโคนมะเดื่ออย่างเหลืออด
เศร้าสลดอ้างว้างสุดห่างเหิน
ไร้ที่พึ่งไร้ทางให้ย่างเดิน
ต้องเผชิญอันตรายในพนา

ลูกมะเดื่อหล่นใส่ใบไม้แห้ง
ตกใจแหยงขนชันขวัญผวา
ยิ่งดึกดื่นยิ่งเคว้งคว้างกลางพนา
ซุกกายาเบียดมะเดื่ออย่างเหลือทน

กอดห่อผ้าซุกไว้ให้แนบอก
หวาดวิตกดวงใจให้สับสน
ร้องจนน้ำตาแห้งสิ้นแรงทน
สุดอับจนชีวินสิ้นทางไป

กระพุ่มมือไหว้เจ้าเหล่าอารักษ์
ลูกกลัวนักท้อแท้สุดแก้ไข
ขอเมตตาท้าวท่านบันดาลไป
ให้ข้าน้อยปลอดภัยในชีวี

พระคุณพ่อพระคุณแม่จงแผ่ด้วย
โปรดมาช่วยประชุมคุ้มเกศี
ให้ปลอดภัยทั้งปวงล่วงราตรี
เป็นที่พึ่งลูกทีจากนี้ไป

☼....ในกาลนั้นพรานไพรใจฉกาจ
เดินเลาะลาดตรวจการณ์ลำธารใส
เที่ยวลัดเลาะทุ่งหนองลำคลองไพร
หาล่าสัตว์ทั่วไปในพนา

เลาะเลียบธารแอบดูหมู่สัตว์ส่ำ
อาจลงมากินน้ำค่ำค่ำหนา
เดินเงียบเงียบค่อยค่อยย่ำกล้ำกรายมา
จนเข้าใกล้กัลยาร้างสามี

ยินสะอื้นร่ำไห้ในไพรสณฑ์
นั่นเสียงคนนี่นาหรือว่าผี
ลองร้องเรียกออกไปกระไรมี
นั่นเสียงผีมาแกล้งจำแลงดล

หรือมนุษย์ผู้ใดกระไรเล่า
เสียงกระเส่าร่ำไห้ในไพรสณฑ์
สะอื้นอั้นตันใจในกมล
ผีหรือคนจงแจ้งแถลงมา

เจ้าคำหอมหวาดผวากายาสั่น
จู่จู่พลันมีเสียงทักกลัวนักหนา
พอกำหนดเที่ยงแท้แน่อุรา
นงพะงาจึงแจ้งแถลงความ

น้ำตาหลั่งดังว่าพระมาโปรด
รีบตอบโจทก์ลนลานเมื่อพรานถาม
ข้าเป็นคนจำพรากจากเขตคาม
เดินติดตามผัวไปในไพรพง

หวังจะได้เยี่ยมชานบ้านเมืองผัว
แต่กลับชั่วไม่สมหวังดังประสงค์
ผัวใจร้ายทิ้งข้าในป่าดง
จึงนั่งลงไหวหวั่นอันตราย

พรานฟังเรื่องทั้งหมดสลดยิ่ง
สงสารหญิงนงรามงามเฉิดฉาย
ขืนอยู่เดียวในพงคงต้องตาย
ด้วยสัตว์ร้ายไข้ป่าบรรดามี

นางวอนขอพ่อพรานท่านจงช่วย
สงเคราะห์ด้วยเถิดหนาในครานี้
โปรดช่วยข้าข้ามพ้นชลธี
ตามสามีต่อไปอาจได้ทัน

นายพรานไพรเหลือบแลแม่เนื้ออ่อน
เอาเถิดหล่อนข้าช่วยได้ไม่เดียดฉันท์
เจ้าไม่ต้องครวญคร่ำร่ำรำพัน
มาเถิดเราไปกันในทันที

เจ้าเดินตามหลังข้าจะพาข้าม
ต้องเดินตามโขดดอนไปในห้วงนี้
มีทางตื้นเดินได้อยู่ข้ารู้ดี
จักปลอดภัยชีวีมีข้านำ

นางเดินตามพรานไพรผู้ใจบุญ
ที่ค้ำจุนช่วยได้ไม่ตอกย้ำ
ส่วนสามีใจไม้ไส้ระกำ
ทิ้งให้ช้ำทำให้ปวดรวดร้าวใจ

นายพรานพาข้ามน้ำตามประสงค์
เจ้ายืนงงเคว้งคว้างไปทางไหน
พรานมองภาพลำเค็ญสุดเห็นใจ
แต่ทำได้เพียงชี้ทางให้นางเดิน

บอกตรงนี้มีถนนหนทางเดียว
ไม่แยกเลี้ยวตรงไปไม่ขัดเขิน
มีแต่เส้นทางนี้ที่คนเดิน
คิดประเมินผัวนางคงห่างไป

เจ้ารีบเดินต่อไปคงได้ทัน
พออาศัยแสงจันทร์นั่นไฉน
ในเส้นทางพงพีจากนี้ไป
ข้าขอให้มีโชคพ้นโศกพลัน

เจ้าสาวน้อยตั้งใจได้เด็ดขาด
ลดความหวาดกลัวภัยได้มหันต์
ตัดสินใจเป็นไรก็เป็นกัน
จะด้นดั้นกลางพนาตามสามี

<มีต่อ>