วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

~ ร้อยใจรัก ~



รักรักกัน ฉันและเธอ เผลอหวั่นไหว
รักรักใคร ใจคงมั่น ปันเสมอ
รักรักกัน ฉันคนนี้ ที่รักเธอ
รักรักเพ้อ ละเมอหา พาอาวรณ์
รักรักแน่ แท้จริงใจ ให้ข้อคิด
รักรักชิด มิตรผูกพัน ฉันจึงอ้อน
รักรักกัน ฉันจะถัก สลักกลอน
รักรักอ้อน ป้อนคำคม ห่มดวงใจ
รักรักเธอ เพ้อทุกวัน หวั่นไหวแน่
รักรักแท้ แค่ส่งรัก  ถักเคียงใกล้
รักรักแล้ว แผ้วถากทาง วางดวงใจ
รักรักใคร่ ใฝ่จับจอง ทุกห้องทรวง
รักรักแม้ แพ้ทางเดิน เกินไปนิด
รักรักสิทธิ์ ปิดทางกั้น ฉันจึงหวง
รักรักนิด ชิดอีกหน่อย ห้อยร้อยรวง
รักรักห้วง ดวงใจนี้ กี่วันรอ
รักรักแนบ แอบจับจอง ปองใจภักดิ์
รักรักปัก ถักเรียงฝัน วันไม่ท้อ
รักรักแล้ว แก้วรักมั่น จะหมั่นรอ
รักรักก้อ รออีกหน่อย ร้อยร่วมเรียง.


~ paer-aksorn ~

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

*ทางที่ผ่าน*



*ฉันอาจเดินหลงทางร้ายย้ายเรื้อบ้าง
แม้เพียงห่างแต่ดวงใจก็ยอมให้
จะเจ็บปวดแสนรวดร้าวราวกรีดใจ
ก็อยากใฝ่ไปคว้าฝันนั้นมาเรียง
*แต่วันนี้เราก้าวย่างเดินทางผิด
เพียงนั่งคิดจิตตรึกตรองลองแบบเสี่ยง
ความเชื่อมั่นอยู่เคียงใกล้ก็ใช่เคียง
แม้เหลือเพียงเศษเสี้ยวใจในรอยทาง
*จากหัวใจดวงน้อยน้อยคนคอยซ้ำ
เธอคอยย้ำความทรงจำให้ไม่ห่าง
ไม่แม้นปล่อยฉันคนนี้ไว้ข้างทาง
เฝ้าเคียงข้างคอยเติมใจให้ทุกครา
*ก้าวเดินไปมองข้างหน้าไขว่คว้าฝัน
มุ่งบากบั่นไม่คิดท้อต่อปัญหา
ข้ามผ่านพ้นด้วยดวงใจใฝ่ศรัทธา
ใช้ปัญญาคอยเพิ่มเติมเป็นทุน

*paer-aksorn*



วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

~ ธารน้ำแห่งขุนเขา ~





ธารน้ำแห่งขุนเขา.

เสียดยอดทอดเลื้อยเป็นหลั่นหลั่น
ขรึมขลังดั่งสวรรค์ ชั้นแมนสรวง
เป็นต้นฝนพงไพรแมกไม้ม่วง
เป็นช่วงช่วง ชั้นจดลดหลั่นมา

เหมยหมอกเมฆฟ่องละอองหนาว
ย้อยพาดหยาดพราวมนต์...รดภูผา
พรูพรมห่มพื้นพสุธา
ต้นไม้โยกใบหญ้าระบัดใบ


ยืนหยัดทัดทอดยอดตระหง่าน
ยืนยงคงกาลมิหวั่นไหว
ตระหง่านยอดทอดยาวเหนือราวไพร
สงบในแข็งแกร่งเอื้อแสงดาว
ธารรินเลาะเลื้อยอยู่เฉื่อยฉ่ำ
สูง-ต่ำ ฉ่ำเสียงอยู่เคียงเหย้า
ขุนเขาทอดท่าม อยู่งามเงา
ทึบ ทึบ เทา เทา เป็นเงางาม


กรุ่นหอมในอารมณ์ชื่นชมเช้า
ทยอยความหงอยเหงาเพื่อก้าวข้าม
ปลดพันธะทุกพันธะแห่งโมงยาม
ในนามแห่งคีรีถึงค่าตรึงอารมณ์


ลมสะพัดพฤกษ์ไพรไหวเริงร่า
มากหมายค่าโอบอ้อมมาห้อมห่ม
ผ่านห้วงที่ร้าวรวดปวดระบม
ผ่านช่วงที่ขื่นขมตรมฤดี

หยัดยอด ทอดเลี้อย เรื่อยเคี้ยวคด
หมดจดเพริศพราย ให้คลายคลี่
เป็นสง่าคู่ดินฟ้ามานานปี
เป็นมิ่งศรีแห่งภูผาสง่างาม

yortawan.

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

*ต่อกลอนธรรม...กับ..พี่ชาย*

พี่กิตติธร.
ไม่ได้เข้ามาหลายวันแล้วสิ...แก่เสนาะ
กาลเวลามันไหลผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน...
...พี่เห็นดอกไม้ตูมที่ค่อยผลิบาน....
...กลีบขยายแผ่ออก...
แล้วก็...ค่อยเหี่ยวเฉาเป็นสีคล้ำไป...
...แม้นั่นก็ไม่คงอยู่....
...มันร่วงหล่นลงไปสู่พื้น....
...เมื่อพี่คอยแวะเวียนมาดู...
..มันถูกน้ำบ้าง...แดดบ้าง....
.ก็เปลี่ยนสภาพไปอีก....

.....พี่มองเห็นเศษดินที่เล็กน้อย...
มันบ่งบอกว่ามันก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของพืช...
....มันไม่ใช่ดิน...
..แต่ก็กำลังจะกลายเป็นดิน..
หรือ..มันอาจจะเคยเป็นดินมาก่อนพืช?
..กลีบแห้งนี้...ไม่นานก็จะเป็นเช่นนั้น..

.....พี่ไหลผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน...
เปลี่ยนร่างแล้วๆร่างเล่าๆ....
...แม้ร่างนี้ก็ผ่านวัยมามิใช่น้อย...
..ประตูมิติแห่งภพอยู่ตรงหน้า...
ไม่นานหรอกพี่ก็จะไหลผ่านมันไป....
...น้องพี่...ชีวิตนี้ไม่เที่ยง....
..เมื่อเราต้องไหลผ่านวันเวลา...
..จงจับหางเสือไว้ให้มั่นคง....
เป้าหมายอยู่ตรงโน้น....
เดินต่อไปนะ...ไปตรงที่พระบรมศาสดา
.....ได้บอกไว้นั่นแหล่ะ...
..น้องรัก...เส้นทางนี้เดินได้คนเดียว...
...จงพอใจในความโดดเดี่ยว...
.....แล้วเราจะพบกัน..
.........รัก.......
...จาก...พี่ชาย...

ตะวัน

โอ้โฮ  สาธุๆๆค่ะ
***หลีกไม่ได้-หนีไม่พ้น
*เกิดแก่เจ็บตายหนีไปไหนไม่พ้น
หญิงชายทุกคนไม่พ้นความตาย

**นี่คือ สัจธรรม

*ร่างกายเรารวมแล้วเรียกว่าขันธ์
ธาตุสี่นั้นปรุงตามนามสังขาร
รวมรูปเวทนาสัญญาวิญญาณ
ประกอบการนามสมมุติสู่จุดจริง

*จุดจริงคือ..จุดที่ไม่มีจุด
ล้วนสมมุติเกิดดับสรรพสิ่ง
อย่าประมาทหันเหประเวประวิง
จงรู้ยิ่งรู้ความจริงทุกสิ่งครบ

*ชีวิตย่อมมีพรากตายจากได้
ชีวิตใครหนีไม่พ้น ผลคือศพ
มัจจุราชหมายมั่นวันต้องพบ
ชีวิตจบชีวิตปลิดร่างลง

*ปลิดร่างลงเหลืออะไรให้โลกรู้
จักเหลืออยู่แต่ชั่วดีที่เสริมส่ง
ถ้าทำดี ดีจักหนุนสกุลวงศ์
แม้ป่นผงกระดูกไปไม่เสียดาย

พี่กิติธร.

*จึงไม่มีสิ่งใดตั้งไว้เที่ยง
มีค่าเพียงมั่นคงตรงสลาย
ยืนหยัดตรงอนัตตาอย่างท้าทาย
ชนทั้งหลายมองไม่เห็นอย่างเป็นจริง

*มองเห็นเพียงอัตตาว่าไปทั่ว
คิดหลงมั่วหวังได้ไปทุกสิ่ง
วาดความหวังว่ามีที่แอบอิง
จึงกลับยิ่งมืดมนพาตนจม

*เพียงฝึกจิตคิดเห็นเป็นความว่าง
มองทุกอย่างเป็นจริงสิ่งผสม
เพียงธาตุแต่งขึ้นมาน่านิยม
แค่ลมลมจับไม่ได้ไร้ตัวตน

*เมื่อเห็นจริงวางได้ไม่เศร้าโศก
ก็แค่โลกเต้นอวดตาไม่น่าสน
มองให้ผ่านพ้นร่างอย่างแยบยล
น้องจะพ้นอาลัยในอารมณ์.

ตะวัน

*สงบฟังตั้งใจกายในจิต
เหมือนนิมิตสนิทในใจผสม
สติเกิดกำเนิดจิตพิศภิรมย์
สะเทือนข่มสดับไหวในภวังค์

*เหมือนเสียงพิณที่รินไหลจากใจจิต
เหมือนดนตรีแห่งชีวิตลิขิตฝั่ง
เหมือนทำนองของกาละขณะฟัง
เหมือนเสียงดังแห่งความเงียบเลียบริมใจ

*ค้นพบแล้วแว่วธรรมโน้มนำคิด
ค้นพบแล้วเข็มทิศนิมิตใหม่
ค้นพบแล้วทางเอกอันอำไพ
ค้นพบแล้วดอกไม้ในกองทุกข์

*เพียงแวะฟังคำสั่งลมพรมใบไม้
เพียงสักเสี้ยวเลี้ยวไปไกลสวนสุข
เพียงมุ่งสู่สวนสงบหลบภัยยุค
เสียงความสุขซุกอยู่ในหัวใจงามฯ


พี่กิติธร.

*หนึ่งพิศเห็นสกนธ์กายสลายทั่ว
หมดทั้งตัวหาใช่มีที่วาบหวาม
เพียงฉาบทาด้วยหนังตั้งกลกาม
ให้กิเลสรุกลามครอบงำใจ

*สองพินิจเวทนาอุราสุข
บ้างก็ทุกข์ไม่เที่ยงแท้แน่ไฉน
เพียงแค่สิ่งเกิดตั้งอยู่ครู่ดับไป
เพียงเข้าใจก็จักวางไม่ค้างคา

*สามดูจิตเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว
บ้างดั่งแก้วเจียระไนให้ศึกษา
บางครั้งขุ่นเป็นโคลนยลจิตตา
แต่ไร้ค่าให้ยึดถือว่าคือ "ตน"

*สี่เพ่งพิจารณาหาต้นเหตุ
ที่กิเลสส่งมาให้น่าสน
ว่าทั้งมวลที่แท้แค่เกมกล
ว่าใจตนยึดอารมณ์เพาะบ่มเอง

*เพียงใส่ใจสี่อย่างไม่ว่างจิต
เพียงแค่คิดมั่นคงเดินตรงเผง
เพียงมุ่งไปไม่เพลินเดินทำเพลง
เพียงก้าวเร่งสู่มัคค์จักพ้นภัย.

ตะวัน.

*ตัวปัญญาดอกนะจะสะสาง
ชำระล้างบาปหลุดบริสุทธิ์ใส
มลทินบาปคาบคุมเข้าสุมใจ
ใช้อะไรล้างเล่าจะเบาบาง

*เอาปัญญาเปรียบเป็นเช่นสบู่
มาฟอกถูใจบาปที่สาบสาง
กิเลสลดหดหายกระจายจาง
จิตใจว่างมลทินสิ้นธุลี

*ปล่อยวางชีวิตอันว้าวุ่น
ผู้ทำบุญด้วยศรัทธาและหน้าที่
แปลงทรัพย์เป็นบุญบารมี
เว้นวรรคทุกชีวีทุกวี่วัน

*เราก็อยู่มาจนถึงวันสุดท้าย
ไม่ด่วนตายไปก่อนชีพผ่อนผัน
เหลือเวลาทำความดีหนุนชีวัน
ก่อนพลัดพรากจากกันนิรันดร

พี่กิติธร.
*รีบเสริมสร้างปัญญาให้กล้าแกร่ง
สติแรงเป็นเหตุกิเลสถอน
วิริยามั่นคงฝ่าดงดอน
แต่จะร้อนรนไปก็ไม่ดี
*ไปเรื่อยเรื่อยพอเร่งเร่งเปล่งขยัน
เข้าประจันดื้อไว้ไม่ถอยหนี
ไม่ต้องสู้บุกฝ่าเข้าราวี
ไม่ต้องหนีทำไปด้วยใจวาง
*เพราะถ้าสู้มีแน่แพ้ชนะ
ซึ่งอาจจะแพ้ก็ได้หากไปขวาง
เราชนะจะฮึกเหิมเพิ่มใยยาง
ถ้าแพ้ทางก็ท้อฝ่อจิตใจ
*ถ้าเราหนีมีแพ้แต่เท่านั้น
ถ้าประจันเดินหน้ากล้าแก้ไข
ไม่ทั้งสู้ไม่ทั้งหนีจักมีชัย
เป็นทางไร้ความแพ้ที่แน่จริง
*ไม่หนีด้วยและไม่สู้แต่รู้ชัด
ทำตามตรัสคงไว้ด้วยใจสิงห์
มุ่งบำเพ็ญบุญญาอย่าประวิง
จักพบยิ่งกำชัยไว้เต็มมือ.

*paer-aksorn & kittithon*


วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

กาลเวลา...






หนทางอันยาวไกล............ม้าวิ่งไปใจมุ่งมั่น
ทนกับกลุ่มหมอกควัน............มุ่งฝ่าฟันสู่ปลายทาง
ฝนตกแดดจะออก..........ใจมันบอกอย่ามาขวาง
มุ่งหน้าสู่ปลายทาง......อันเลือนลางด้วยทรนง

หนทางยังยาวไกล.....แต่ดวงใจไม่ปริปลง
วิ่งล้มก็ลุกส่ง............เพื่อมุ่งตรงทางต่อไป
แม้ข้าจะขาเจ็บ....จะหนาวเหน็บสักเพียงไหน
คงมั่นไม่หวั่นใจ................สมเป็นชายลูกอาชา

หนทางยังอีกครึ่ง.........ต้องเป็นหนึ่งผู้นำหน้า
สุดใจลูกอาชา......เหล่าผองม้าจงภูมิใจ
มีทางเพียงแค่นี้ ..........หรือจะล้มตัวข้าได้
อย่างข้า อาชาไนย........พิสูจน์ใจด้วยระยะทาง

หนทางที่ก้าวผ่าน......ยังคืบคานสานตรงข้าง
ทางใจไม่แรมร้าง.....ใจเจือจางไม่หวั่นใด
เป็นม้าที่พยศ......ไม่เคยอดทนไม่ได้
ทางนี้ที่อยากไป......สู้แค่ตายลายเรามี

เวลาอันยาวนาน.........เปลี่ยนวันวานเป็นวันนี้
ใจคนที่คงที่........มีหรือจะ ไม่เปลี่ยนแปลง
น้ำเซาะหินยังกร่อน.............ใจอ่อนอ่อนยากจะแข็ง
เวลาช่วยแจกแจง.......การเปลี่ยนแปลงของใจคน

จะม้าหรือจะเรา.......ดูหงอยเหงาเวียนสับสน
ระยะทางพิสูจน์ตน...............หนึ่งคำดลคนจดจำ
ส่วนคนหากดูหน้า........ ยากเกินกว่าบอกพฤติกรรม
เวลาพิสูจน์การกระทำ...........จงจดจำไว้ให้ดีฯ


แพรอักษร.