วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๖ โดย. พี่กิตติธร


.....กระไรหนอเราสัตว์ดิรัจฉาน
เจอคนพาลตามล่าในป่าลึก
เหตุผลใดไม่ต้องมาตรองตรึก
เพียงแค่นึกอยากฆ่าก็ล่าเอา

ท่านทั้งหลายอย่าสนคบคนพาล
รู้จักนานจะพลางตามอย่างเขา
จะซึมซับติดพาลสันดานเรา
ดั่งเทือกเถาวัลย์เลี้ยวเกี่ยวกอดกลม

ดูมะม่วงพันธุ์ดีมีรสหวาน
หากเอาย่านบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ปลูกอยู่ใกล้เกี่ยวกันพลันนิยม
เคยหวานกลายเป็นขมเพราะชมกัน

ครานั้น พรานไพรชิงไหวพริบ
ต่างเงียบกริบราวป่าดุจอาถรรพ์
พรานก็นั่งนาคก็นิ่งไม่ติงกัน
ต่างอดกลั้นอำพรางระวังตัว

ในกาลนั้นพรานกงให้สงสัย
รู้สึกมีอะไรตกใส่หัว
ยกมือขึ้นลูบเขี่ยอยู่เนียนัว
พอรู้ตัวถึงอ้อก็ตื่นตา

ขี้กระรอกเต็มนิ้วเลิกคิ้วดู
กำหนดรู้ตื่นเต้นเป็นหนักหนา
เงยหน้าดูเหนือตนบนที่มา
อนิจจาอยู่นี่ตรงนี้เอง

เห็นกระรอกซุกซบกับคบไม้
รีบทันใดประทับกระฉับกระเฉง
ถือหน้าไม้เล็งจ้องต้องกูเอง
ช่างเหมาะเหม็งเห็นชัดถนัดตา

ตั้งแต่ตามไล่ล่ามาถึงนี้
ได้เข้าใกล้ไม่เคยมีเท่านี้หนา
โอกาสทองของกูอยู่เต็มตา
กูจักฆ่าให้สมอารมณ์ปอง

ได้จังหวะเล็งนิ่งก็ยิงไป
ลูกหน้าไม้พุ่งตรงคงผยอง
แทนที่จะปักกายดังหมายปอง
แต่กลับต้องกระดอนมาในครานั้น

หน้าไม้นี้ยิงช้างยังหางชี้
คงเป็นเพราะภูมิดีมีอาถรรพ์
ยิงกระรอกไม่เข้าเฝ้างงงัน
ภังคีพลันเผ่นผางทางปัจจิม

สถานที่กล่าวว่ามีอาถรรพ์
ปัจจุบันหมู่ชนคนแย้มยิ้ม
ตั้งหมู่บ้านรื่นรมย์น่าชมชิม
อยู่ตรงริมหนองหานอีสานทิศ
ชื่อว่าบ้านดอนคงจงจำมั่น
คงกระพันภังคีรอดชีวิต
หากไม่ได้ภูมิที่ผู้มีฤทธิ์
พรานคงปลิดชีพนาคไม่ยากเย็น

บริวารปักษาผวาหนี
นำภังคีเร่งร้อนจากซ่อนเร้น
ตะวันตกมุ่งไปเมื่อใกล้เย็น
เจ้าโผนเผ่นวิ่งมุ่งข้ามทุ่งเตียน

มุ่งสู่ป่าทึบทึมอึมครึมโน้น
เผ่นกระโจนแสนยากอยากเกษียณ
วิ่งหนีตายทุกข์ยากกว่าพากเพียร
ด้วยทุ่งเตียนไร้ที่ซ่อนผ่อนกายา

นึกถึงพ่อแม่เคยเฉลยความ
เคยห้ามปรามด้วยรักเป็นนักหนา
ไม่อยากให้ขึ้นสู่พสุธา
ด้วยนานาผองภัยในมนุษย์

แต่ไม่ฟังคำค้านของมารดา
จึงถูกล่าตามหลังไม่ยั้งหยุด
เป็นทุกข์ใจไร้หวังดังเจอครุฑ
พวกมนุษย์เป็นไฉนจิตใจพาล

เหล่านาคแปลงมุ่งกรูสู่ราวป่า
เบื้องหน้าป่าชัฏดังรัดสาน
พอข้ามพ้นท้องทุ่งเป็นบุ่งจาน
เถาวัลย์ลอดสอดประสานเป็นดานดง

ส่วนต้นจานสูงใหญ่ใบทึบทึม
ดูร่มครึ้มพฤกษาน่าเดินหลง
พอไปถึงป่าชัฏอัสดง
มืดค่ำลงพอดีที่บุ่งจาน
อันบุ่งจานนั้นหนาป่าทองกวาว
ตามเรื่องราวเล่าเล่นเป็นหลักฐาน
มายุคนี้คือกลุ่มบ้านอุ่มจาน
พอเนิ่นนานคำเปลี่ยนผัดเพี้ยนไป

คำว่าบุ่งเปลี่ยนไปกลายเป็นอุ่ม
ที่ประชุมประชาหน้าแจ่มใส
มีถนนตัดผ่านหมู่บ้านไป
ทั้งน้ำไฟใสสว่างเป็นอย่างดี

ค่ำคืนนั้นภังคีได้ที่ซ่อน
พอได้นอนพักองค์ผู้ทรงศรี
ซุกกายกรซ่อนองค์ในพงพี
ลูกนาคีหลับไวด้วยไร้แรง

สามคืนแล้วหลบหนีรอดชีวิต
มนุษย์ติดตามตนจนสิ้นแสง
พอคืนค่ำได้นอนพักผ่อนแรง
กระรอกแปลงสิ้นคิดจิตมืดมน

โอ้ดูหรือนาคาผู้อาภัพ
ไร้ปัญญาเป็นทรัพย์จึงสับสน
คราวบุญโปงใบ้เบื้อเมื่อเป็นคน
กรรมตามดลเกิดมาในครานี้

เป็นนาคาภังคีผู้มีฤทธิ์
แต่ความคิดไม่แจ้งดังแสงสี
ไร้ปัญญาพินิจคิดวิธี
ไม่ได้มีความคิดพิชิตภัย

☼.....ครั้นแสงเงินวาววับจับท้องฟ้า
ท้องนภาเริ่มแจ้งแสงสมัย
อีกไม่นานสุริยันจักครรไล
ขึ้นสาดส่องอำไพให้ปฐพี

ในกาลนั้นพรานตื่นขึ้นเห็นแสง
ยังไม่แจ้งแก่ตาในครานี้
แต่ฝูงนกเกาะกลุ่มสุ้มเสียงดี
มันเร็วรี่ลงใต้ออกไปแล้ว

เรียกสมุนของตัวอย่ามัวขลุก
จงรีบลุกฟังเสียงสำเนียงแจ๋ว
หมู่นกกานกเอี้ยงเสียงแซงแซว
มันไปแล้วทางใต้ตามไปพลัน

เดินข้ามลำห้วยน้ำตามเสียงนก
ด้นทุ่งรกตามปักษีในที่นั้น
ไม่นานนักก็แจ้งแสงตะวัน
สุริยันส่องสว่างกระจ่างตา

ส่วนภังคีเห็นไกลดอนไม้สูง
จึงมั่นมุ่งเร็วรี่ด้วยสี่ขา
เห็นมะเดื่อยืนต้นปนยางนา
ลูกแดงเหลืองล่อตาดูน่าทาน

ตรงที่แจ้งพอดีในที่นั้น
กาลเปลี่ยนผันเรียกบ้านแจ้งแถลงสาส์น
บ้านดั้งเดิมของกลุ่มบ้านอุ่มจาน
ตั้งอยู่นานจึงจางทิ้งร้างไป

ปัจจุบันเหลือโพนโนนบ้านเก่า
ตามเรื่องเล่าเก่ามาว่าตรงไหน
ส่วนลำห้วยเรียกห้วยแจ้งแถลงไว้
ที่พรานไพรลุยน้ำจ้ำตามมา

ส่วนดอนใหญ่ไม้สูงล้วนยูงยาง
เป็นป่าร้างกลางทุ่งให้ศึกษา
ก่อนเคยเป็นหมู่บ้านเมื่อนานมา
เรียกกันว่าบ้านดอนยางอย่างตำนาน

☼.....ครานั้น นาคาผู้หารัก
หิวโหยนักกินมะเดื่อที่เนื้อหวาน
กัดกินอุทุมพรผ่อนทรมาน
บริวารทั้งสิ้นก็กินพลัน

ด้วยหิวแหบแสบไส้หลายเพลา
มวลนาคากินได้ไม่เดียดฉันท์
พอได้กินหวังเพียงเลี้ยงชีวัน
ยังมิทันบรรลุอิ่มอุทร

พรานกงย่องมาทันมองหันหา
เห็นเต็มตาว่ากระรอกไม่ยอกย้อน
กำลังกัดกินกลุ่มอุทุมพร
ไม่สังหรณ์จิตใจว่าภัยมา

..........<มีต่อ>

6/10/54

ไม่มีความคิดเห็น: