วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๕ โดย.พี่กิตติธร


นางไอ่ ตอนที่ ๑๕


.....เห็นวิหคล่วงหน้าพะว้าพะวัง
ที่ตามหลังเห็นงูผู้มีพิษ
สีขาวปลอดหงอนแดงดูแรงฤทธิ์
พรานครุ่นคิดหวังฆ่านาคาพลัน

โดยไม่รู้งูหรือคือกระรอก
พรานสั่งบอกลูกสมุนอย่างผลุนผัน
รีบว่องไววิ่งวางดักทางมัน
งูตัวนั้นประหลาดอย่าพลาดเชียว

ส่วนภังคีเห็นภัยเข้าใกล้ตัว
ยิ่งหวาดกลัวใจฟุ้งสะดุ้งเสียว
พวกมนุษย์ตามฆ่ากันท่าเดียว
รีบลดเลี้ยวมุ่งตรงเข้าโพรงดิน

อันเป็นรูอยู่โพนโนนโดดเด่น
ภังคีเห็นรีบไปดั่งสายสินธุ์
พรานตามทันรีบลุยคุ้ยโพรงดิน
ตามล่าล้างชีวินให้สิ้นใจ

ไม่ทันได้เห็นหัวหรือตัวงู
เสียงอ้าอู้ตื่นเต้นเป็นไฉน
พวกสมุนกางอ้าขากรรไกร
ตระหนกใจมือเย็นเมื่อเห็นทอง

คนหนึ่งคว้าทองคำกำมือแน่น
คิดหวงแหนว่ากูผู้เจ้าของ
คนต่อมาตาเห็นว่าเป็นทอง
จึงจับจ้องชิงแย่งด้วยแรงกาย

เกิดโขมงโฉงเฉงตะเบ็งแข่ง
ต่างยื้อแย่งเอาทองที่ปองหมาย
ทั้งถีบเตะยื้อยันกันวุ่นวาย
แม้ว่านายบอกห้ามไม่คร้ามฟัง

จนสุดท้ายพรานกงอ้างโองการ
เยาวมาลย์บอกกล่าวแต่คราวหลัง
หากมัวยังแย่งทองไม่ตรองฟัง
รู้ถึงวังจะพิโรธโกรธเป็นไฟ

อันองค์หญิงให้มาล่ากระรอก
มากลับกลอกชิงทองกันนั่นไฉน
หัวจะพรากจากบ่ากระเด็นไป
สูจะได้ม้วยมอดวอดชีวี

ลูกสมุนฟังพลันหวั่นวิตก
เสียวหัวอกนึกถึงองค์พระทรงศรี
มัวแต่แย่งทองคำเพียงจำปี
จะพาศีรษะตนหลุดพ้นคอ

ตรงโพนดินถิ่นเก่าที่เล่าขาน
ที่พวกพรานแย่งทองกันนั่นละหนอ
มาบัดนี้คนมากมีถักทอ
ได้ตั้งก่อเป็นบ้านอยู่นานมา

เรียกว่าบ้านโพนทองตามคลองเรื่อง
บ้านรุ่งเรืองคนดีมีศึกษา
มีลูกหลานเป็นใหญ่ให้ชื่นตา
รุ่นปู่ย่ายิ้มย่องมีทองใช้

ในครานั้นบริวารของพรานกง
ทิ้งทองลงหยิบปืนผาและหน้าไม้
คว้าธนูแคล่วคล่องดูว่องไว
ด้วยกลัวภัยธิดาเจ้าธานี

ส่วนงูใหญ่กลายร่างเป็นกระรอก
แล้ววิ่งออกอีกทางพลางหลบหนี
ในขณะคนแย่งทองทุบถองตี
เจ้าก็รี่โลดไปในไพรพง

พรานกงหันเห็นทันนั่นกระรอก
จึงรีบบอกพวกตัวอย่ามัวหลง
อ้างคำสั่งพระธิดาโสภาองค์
แล้วชี้ตรงทิศใต้ให้พลันตาม

นายพรานนึกตอนเข้ารูเป็นงูใหญ่
แล้วไฉนโผล่อีกทางร่างเปลี่ยนผัน
หรือกระรอกงูเงี้ยวตัวเดียวกัน
ต้องอย่างนั้นแน่ใจไม่ผิดตัว

อัศจรรย์แปลกใจไม่เคยเห็น
ตัวแท้เป็นอะไรหนาน่าปวดหัว
แต่พวกมันตายได้จึงไม่กลัว
อีกทั้งตัวโกรธเคืองเรื่องลูกน้อง

ที่ถูกงูกัดตายไปหลายคน
จึงดั้นด้นแก้แค้นแทนพวกพ้อง
จับตัวได้เมื่อไรจักได้มอง
คนทั้งผองจักรู้ชัดสัตว์อะไร

กระดิ่งทองส่งเสียงสำเนียงเพราะ
ดังเสนาะเผ่นผางไปทางไหน
อยู่กับคอกระรอกขาวในราวไพร
พรานจึงได้ตามติดไม่ผิดทาง

กระรอกด่อนมุ่งใต้มีไผ่กอ
ทั้งหนามหน่อขี้แฮดเอยไม่เคยถาง
สุมเป็นเซิงคลุมปกดูรกร้าง
ไม่มีทางเดินง่ายที่ใดเลย

อีกทั้งคลุมด้วยดงตาลตระหง่านสูง
บรรดาฝูงนกนำไปไม่นิ่งเฉย
เข้าป่าตาลแน่นขนัดไม่ขัดเลย
แต่พรานเอ่ยแสนยากลำบากแท้

ยิงธนูหน้าไม้ก็ไกลเกิน
กระรอกเหินหลบไปไม่ได้แผล
ระดมยิงอย่างไรไม่เปลี่ยนแปร
ไม่อาจทวงดวงแดกระรอกดอน

ในทีนั้นพรานแนบปืนแก๊ปเล็ง
พอตรงเผงเหนี่ยวไกใจเร่าร้อน
เสียงดังปังลั่นป่าพนาดอน
กระรอกด่อนตระหนกตกต้นตาล

ลูกสมุนเข้าไปหวังได้จับ
กระรอกกลับพุ่งพรากออกจากฐาน
วิ่งว่องไวในป่าต่อหน้าพราน
พางุ่นง่านอุรานึกว่าตาย

ตรงที่มีสำเนียงเสียงปืนดัง
ลั่นออกปังตรงนี้มีที่หมาย
ปัจจุบันเรือนชานหมู่บ้านราย
ทั้งหญิงชายคนขยันหมั่นทำกิน

ชื่อหมู่บ้านเมืองปังด้วยฟังเสียง
ครั้งสำเนียงปืนดังฟังถวิล
จึงประกาศเรื่องไว้ให้โลกยิน
ว่านี้ถิ่นปืนลั่นสนั่นไพร

☼.....ครานั้น ภังคีมองขึ้นท้องฟ้า
ดูนกกาว่าวางไปทางไหน
สัญญาณบอกตะวันตกรกแน่นไป
คงจะได้ซ่อนตนให้พ้นเวร

เป็นดงใหญ่ไม้สูงดูตระหง่าน
ทั้งต้นตาลไทรยางไม่ว่างเว้น
ส่วนข้างล่างดงหนามดูลำเค็ญ
ยากเย็นหากคนจะด้นดัน

หนามคัดเค้าขี้แฮดทั้งแปดทิศ
ตำแยพิษคันคายในดงนั้น
กระรอกเข้าซ่อนกายหายตัวพลัน
ฝูงนกนั้นร่อนลงในพงไพร

พรานกงเห็นนกสมุนไม่วุ่นวาย
จักซ่อนกายกระรอกอยู่ซอกไหน
จึงค่อยย่องเหยียบย่างระวังไว
บางครั้งหยุดเคลื่อนไหวส่ายตามอง

พรานยืนนิ่งส่วนกระรอกไม่ออกตัว
ใจระรัวลมแผ่วแขม่วท้อง
อำพรางกายใจนึกต่างตรึกตรอง
ฝ่ายหนึ่งจ้องหลบรอดให้ปลอดภัย

แต่อีกฝ่ายจ้องฆ่าล่าชีวิต
ภังคีคิดงุนงงให้สงสัย
พวกมนุษย์เดือดดาลรำคาญใจ
ด้วยเรื่องไรแปลกจิตคิดงงงัน

นึกไม่ออกว่าตนเคยขวนขวาย
ไปทำลายเงินเบี้ยให้เสียขวัญ
เป็นศัตรูผู้ใดเมื่อไรกัน
ไฉนนั่นจึงมาล่าชีวิต

นั่นละหนอสันดานพาลมนุษย์
ไม่สิ้นสุดความร้ายดังไฟพิษ
แม้จอมเทพอินทร์องผู้ทรงฤทธิ์
ก็ยังคิดเคืองได้กระไรคน

หรือกระทั่งพุทธองค์ผู้ทรงญาณ
พวกคนพาลสันดานชั่วไม่กลัวผล
ด่าพระองค์เป็นลาอูฐพูดสัปดน
อันพาลชนทำได้ไร้สำนึก

..........<มีต่อ>

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

มาชื่นชมกลอนเก่าที่เล่าใหม่น่ะ