วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๐ โดย. พี่กิตติธร





 ตอนที่ ๑๐


.....ในที่สุดฟุบลงตรงที่นอน
เฝ้าทอดถอนหวั่นผวาน่าสงสาร
เสียงร่ำไห้ร้าวดวงแดแม่ดวงมาลย์
ทั้งต่อขานวิปโยคโชคชะตา

สิ้นหมดแล้วสิ่งไรไรในชีวิต
กรรมลิขิตให้เป็นเช่นนี้หนา
เมื่อไม่ได้ชีวิตอิสรา
ยังจะมีชีวาหาอะไร

เจ้าคร่ำครวญร้าวรอนกับหมอนข้าง
บรรดานางกำนัลยิ่งหวั่นไหว
รีบเข้ามาปลอบบังอรให้ผ่อนใจ
ให้ทรงได้มีสติดำริตรอง

ครั้นไม่นานจอมวงศ์องค์ราชา
ทรงเสด็จเข้ามาหน้าหม่นหมอง
มเหสีตามหลังเข้าวังทอง
ต่างหม่นหมองกลุ้มใจดั่งไฟลน

ตามด้วยท้าวผาแดงผู้แรงรัก
ด้วยพระพักตร์หดหู่ดูสับสน
นึกถึงว่าต้องพรากจากกมล
ยิ่งสับสนซึมเศร้าปวดร้าวใจ

ศรีเชียงเชิดผู้พ่อขอรับผิด
แต่สุดคิดมืดดำทำไฉน
ได้แต่ปลอบแล้วยืนฝืนถอนใจ
แล้วครรไลจากห้องของธิดา

แสนขึ้งแค้นเคืองโกรธด้วยโอษฐ์ตน
ไม่ดูเหตุไม่ฟังผลไม่ปรึกษา
เอาแต่ตามใจกูผู้ราชา
เอ่ยวาจาพร่ำไปไม่ไตร่ตรอง

ถึงต้องเสียธิดาในครานี้
ชลธีนองหน้าราชาผยอง
ฝ่ายพระนางจามปาน้ำตานอง
โอบประคองลูกเจ้าเศร้าจาบัลย์

แล้วจากนั้นวางมือที่ถือพักตร์
ลาลูกรักตามสามีที่เสียขวัญ
พร้อมด้วยเหล่าบริวารธารกำนัล
ทยอยกันออกมาจากรานี

โดยปล่อยให้กษัตริย์หนุ่มที่กลุ้มจิต
อยู่เป็นมิตรไอ่คำน้องที่หมองศรี
ทั้งสองโผหากันในทันที
ณ นาทีทวารปิดบานลง

ร่ำสะอื้นซบตนกับคนรัก
เกลือกพระพักตร์ดั่งใจใกล้เป็นผง
สิ่งที่เคยมุ่งหวังตั้งจำนง
ทลายลงสิ้นไปในพริบตา

ว่าพี่จ๋าเหตุการณ์เป็นปานนี้
ร้าวฤดีเหลือที่จะสรรหา
น้องไม่อาจเคืองโกรธโทษบิดา
แต่ภายหน้าต้องเผชิญดำเนินไป

น้องจะต้องเป็นสมบัติขัตติยะ
ขององค์พระเจ้าอาฟ้าแดดไท้
ไม่ทราบว่าพระองค์ผู้ทรงชัย
จะทรงให้น้องอยู่คู่พระองค์

ในฐานะเยี่ยงใดกระไรเล่า
มิอาจเดาความคิดจิตประสงค์
ของฟ้าแดดขัตติยะผู้ทะนง
น้องอยากปลงชีวินให้สิ้นลม

ท้าวผาแดงกอดนางไว้กลางอก
หวั่นวิตกกล้ำกลืนแสนขื่นขม
ด้วยพลาดหวังนงพะงามาเชยชม
จำต้องข่มด้วยสมบัติขัตติยา

ดำริว่ามีหวังที่ยังเหลือ
ตรงเลือดเนื้อเชื้อไขไฉนหนา
เจ้าฟ้าแดดอาจคิดจิตเมตตา
รักกัลยาน้องนางอย่างเอ็นดู

จึงบอกว่าสงบใจเถิดไอ่น้อง
อย่าร่ำร้องกำสรดให้อดสู
ยังมีหวังร่วมเรียงเคียงพธู
โฉมตรูอย่าร้อนถอนพระทัย

เจ้าฟ้าแดดอาจไม่ได้หวังน้อง
เป็นคู่ครองเชยชิดพิสมัย
อาจเอ็นดูนงรามเจ้าทรามวัย
ด้วยพระทัยคิดเห็นเช่นบุตรตน

ผาแดงหนุ่มปลอบใจเจ้าไอ่คำ
ด้วยเลิศล้ำวาจาดีมีเหตุผล
เจ้าหญิงน้อยค่อยอ่อนผ่อนกมล
สติตนค่อยทวนหวนกลับคืน

ต่อไปนี้รอเวลาจักมาถึง
แม้พรั่นพรึงจักข่มใจมิให้ฝืน
คำบิดาตรัสขาดมิอาจคืน
แม้กล้ำกลืนจักทำตามวาจา

สิ่งที่หวังอยู่ที่องค์เจ้าสงยาง
จะรักนางเยี่ยงไรไฉนหนา
เจ้าฟ้าแดดพระองค์คงเมตตา
ในฐานะปิตุลาภาติยะ

สองพระองค์ปลอบพระทัยให้แก่กัน
แม้หวาดหวั่นขื่นขมตรมอุระ
แต่เพียงใจเข้าใจไม่เปะปะ
รักเราจะคงมั่นนิรันดร.

☼.....จะกล่าวถึงภังคีผู้มีศักดิ์
อยากยลพักตร์พิศพวงดวงสมร
ในอกอัดอึงอลปนนิวรณ์
โอ้บังอรทำไฉนจักได้ยล

ครั้นทราบข่าวเรื่องการจัดงานใหญ่
บุญบั้งไฟเดือนวิสาข์ดูน่าสน
พระยาขอมประกาศกล้าต่อหน้าคน
ยกกมลไอ่นางเป็นรางวัล

เจ้าภังคีหงุดหงิดจิตเร่าร้อน
ไม่อาจผ่อนฤดีที่กระสัน
ตัดสินใจมุ่งหน้ามาโดยพลัน
เมื่อถึงวันแข่งบั้งไฟชิงไอ่คำ

มิได้บอกบิดาเจ้านาคี
เจ้าหลบหนีขึ้นไปจากใต้น้ำ
แล้วแปลงร่างเป็นนราตาดำดำ
ไม่อาจจำแนกได้ว่ากายปลอม

เที่ยวงานบุญบั้งไฟไปกับคน
ด้วยหวังยลกันยาธิดาขอม
แต่ไม่พบยอดหญิงกิ่งพะยอม
เจ้านางขอมที่หวังตั้งใจมา

ด้วยไม่รู้ความเป็นไปในมนุษย์
นาคีบุตรไม่มีที่จะหา
ผู้คนมาร่วมงานจนลานตา
ไม่อาจหาไอ่คำดั่งจำนง

วัฒนธรรมประเพณีที่มาเห็น
ไม่ได้เป็นดังคิดจิตประสงค์
ให้ตื่นตาหันร่างอย่างงุนงง
เจ้าภุชงค์สับสนกับตนเอง

ทั้งไม่รู้ผังเมืองอันเรืองยศ
ที่กำหนดจัดวางอย่างเหมาะเหม็ง
จึงเร่าร้อนกลุ้มใจไม่ครื้นเครง
เดินรีบเร่งหาไปในฝูงชน

ทั้งไม่คิดถามไถ่ให้ได้ความ
ไม่กล้าถามถึงพธูให้รู้ผล
ว่านางอยู่แห่งใดในมวลชน
ดูพิกลปัญญาเจ้านาคี

เดินไปกับหมู่ชนจนเย็นย่ำ
ไม่เห็นเงาคนงามตามวิถี
ทั้งไม่รู้จะหานางอย่างไรดี
เจ้าภังคีซบเซาเศร้าอุรา

จึงหอบความผิดหวังกลับวังน้ำ
ยิ่งตอกย้ำครุ่นคิดปริศนา
จักต้องมีวันพบสบกัญญา
ลูกนาคามุ่งหวังตั้งหทัย.

☼.....ครั้นรุ่งเช้าอรุณแจ้งแสงสาดฟ้า
ชทิตาเคยรื่นรมย์สมสมัย
ทุกวันทั่วเขตคามยามอุทัย
ต่างอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

อยู่เป็นสุขตลอดมาทั้งตาปี
เพลานี้ดั่งโลกก็โศกศัลย์
แลไปทั่วเย็นเยียบดูเงียบงัน
ดั่งสวรรค์แกล้งสาปบาปบันดาล

<มีต่อ>