วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๘ โดยพี่ กิตติธร


.....ส่วนทัพสองขึ้นโขงตรงทางเหนือ
ตามมาเพื่อเกื้อกูลคอยคูณค้ำ
จากเหนือตรงลงใต้ให้จงจำ
จงกระทำผลาญเผาให้เมามัน

พวกกินเนื้อลูกข้าอย่าให้เหลือ
ให้มันตายเป็นเบืออย่าเหลือขันธ์
เร่งเข้าเถิดพวกเราเข้าประจัญ
จงล่าล้างพวกมันให้บรรลัย

หมู่นาคหนุนต่อเนื่องด้วยเรืองเดช
เกิดอาเพศฟ้าแดงฉานกาลสมัย
เสียงสนั่นลั่นฟ้าสุราลัย
เมื่อสมัยกลางฟ้าทิวากร

อันทัพแรกด้นดั้นพลันถล่ม
เป็นเปือกตมเต็มทางร่างสลอน
กลายเป็นลำน้ำใหญ่ในดงดอน
อนุสรณ์เรียกไว้ห้วยไพจาน

ตรงเข้าหาชทิตาบูรพาทิศ
หมู่อมิตรคิดทำลายอย่างไพศาล
พวกมนุษย์เพลินอยู่ไม่รู้กาล
มัจจุราชเรียกขานในวันนี้

ส่วนทัพหลังดันพื้นขึ้นเป็นปล่อง
เป็นรูร่องปล่องน้ำตามคำชี้
แล้วรุกคืบลงใต้ในทันที
เผาชีวีแหลกลาญทั้งบ้านเรือน

เกิดเป็นห้วยลำน้ำไปตามทาง
เป็นร่องรางตามหนที่พลเคลื่อน
บัดนี้เรียกห้วยพ่นไฟเพราะไหม้เรือน
บ้างแชเชือนเรียกพลไพรในบางครา

☼.....จะกล่าวถึงผาแดงแห่งผาโพง
ได้มีโองการสั่งอย่างหรรษา
เตรียมขันหมากสู่ขอลออตา
หลังกลับจากชทิตามหานคร

เป็นการหมั้นหมายสมรก่อนสมรส
ซึ่งกำหนดอีกสองเดือนไม่เลื่อนย้อน
นี้เพียงการหมั้นขออรชร
ท้าวรีบร้อนเร่งมาไม่ช้านาน

ขบวนหมั้นแรมรอนถึงตอนเช้า
ผาแดงเร้าเร่งมาพบตาหวาน
ส่วนเวียงวังไอ่องค์นงคราญ
ได้เตรียมการต้อนรับขับสู้พร้อม

ครั้นได้ฤกษ์ตอนบ่ายเพื่อหมายหมั้น
คนโจษจันมากเหลือถึงเนื้อหอม
ต่างเฝ้าแลพิศพวงดวงพะยอม
ธิดาขอมจักเติมเสริมความงาม

ปกติความงามที่ล่ำลือ
เป็นเพียงถือกำเนิดก็เลิศหลาม
ยังประกาศเลื่องลือระบือนาม
ครานี้ทรามวัยเจ้าจะเท่าไร

เมื่อแต่งพร้อมสรรพเสร็จเสด็จมา
ทุกสายตาเบิ่งตามงามไฉน
แววพระเนตรดุจกวางอยู่กลางไพร
ดูวิไลกลึงกลมสมส่วนองค์

ผิวพระพักตร์จุรณจันทน์ประชันผัด
ให้คิ้วคางคมชัดน่ารัดหลง
อกอวบอิ่มสรรพางค์ร่างกายตรง
พระโขนงโค้งเคียวดั่งเรียวจันทร์

ดังองค์เทพีศรีสวัสดิ์
พระสุรัสวดีศรีสวรรค์
พระหยดย้อยแย้มยิ้มอิ่มอนันต์
เสนาพลันค้างคานั่งตาลอย

ทรงแย้มยิ้มแลมาทางผาแดง
ผู้ลืมแรงรักเรืองจนเงื่องหงอย
เพลินพระองค์นิ่งขึงตะลึงลอย
โอ้เนื้อกลอยสุดจะสรรพรรณนา

ทันใดนั้นลางร้ายได้อุบัติ
จิ้งจกพลัดตกตายใจผวา
ต่อหน้าองค์เทวีพระธิดา
ตื่นอุราหวั่นไหวในบันดล

ในขณะทุกคนเฝ้างงงัน
ต่างเสียขวัญเหตุนี้ต้องมีผล
พร้อมกันนั้นตังตึงเสียงอึงอล
เกิดลมฝนมืดมิดทิศบูรพา

เสียงพายุพายพัดซัดกระหน่ำ
เมฆาคล้ำบิดเกลียวมาเจียวหนา
ดั่งอสูรยกทัพจับเทวา
วชิราแลบลั่นสนั่นดิน

ทางปัจฉิมฟ้าฉานปานดังเลือด
พายุเดือดทรงพลังดังศิขริน
ถูกทำลายกระจายแตกแหลกเป็นดิน
ด้วยฝีมือวัชรินทร์ปิ่นเมืองแมน

พระทวารบานหน้าต่างกางกระเด็น
ไม่เคยเห็นต่างหวั่นกันเหลือแสน
เมืองทั้งเมืองเขย่ารัวไปทั่วแดน
บูรพาแผ่นดินพังพรั่งพรูมา

ดินเขย่าลมขยับพยับลั่น
พายุดันสุดพลังดังหวือหวา
แผ่นดินยุบน้ำทะลักพุ่งผลักมา
พสุธาวอดวายกลายเป็นโคลน

หวิวหวีดกรีดเสียงสำเนียงดัง
แผ่นดินพังไม่มีที่เผ่นโผน
เสียงร่ำไห้กู่ร้องก้องตะโกน
ถูกน้ำโคลนพัดหายไปจากกัน

ลูกพรากแม่เมียพรากผัวระรัวร้อง
กึกก้องทั่วแผ่นดินดังสิ้นขวัญ
ปวงประชาดาวดิ้นสิ้นชีวัน
แผ่นดินพลันสูญหายกับสายชล

ส่วนผาแดงเห็นภัยไล่มาถึง
ตกตะลึงอึดใจเท่าปลายขน
ผู้อื่นต่างสับสนอลวน
แต่ละคนเร็วรี่รีบหนีตาย

เจ้ารีบคว้าพระกรบังอรองค์
แล้วรีบลงก่อนวังพังสลาย
คว้าสมบัติพัสถานสุวรรณราย
อันเป็นเครื่องหมั้นหมายไปเร็วพลัน

กระโจนขึ้นอาชาผู้คู่ชีวิต
เจ้าสามฤทธิ์แรงดีขมีขมัน
ผาดโผนกระโจนไวไปทันควัน
ขณะนั้นเมืองพังตามหลังมา

พลนาคีศรีสุทโธนาคราช
อาละวาดสร้างกรรมทำหิงสา
พากันขุดดินถล่มจมพสุธา
ตามบัญชานาคีศรีสุทโธ

พังทลายแหลกสิ้นทุกถิ่นฐาน
ทั้งเรือนบ้านตำหนักวังอักโข
ชติตารุ่งเรืองเมืองใหญ่โต
เคยอวดโอ่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน

มาบัดนี้กลับสลายกลายเป็นหนอง
ผืนน้ำใหญ่เนืองนองชื่อหนองหาน
จากเวียงวังใหญ่โตโอ่ตระการ
เป็นหนองหานเพียงขยิบกระพริบตา

เจ้าสามม้าสำแดงแผลงพลัง
นายนั่งหลังแล้วหนีด้วยสี่ขา
นางไอ่คำกอดรัดภัสดา
นองน้ำตาหวาดหวั่นอันตราย

มุ่งไปทางปัจฉิมริมนคร
ไม่เหลียวย้อนดูวังพังสลาย
เร่งควบม้าเจ้าสามหนีความตาย
มวลหมู่นาคทั้งหลายไม่ยินยอม

ด้วยนาคาได้กลิ่นกายินทรีย์
ของภังคีจากกายาธิดาขอม
จึงขุดดินตามทวงพวงพะยอม
ธิดาขอมเอาไปในธารา

แผ่นดินยุบโครมครามน้ำเนืองนอง
เป็นคูคลองพุ่งพรั่งตามหลังม้า
ผาแดงเห็นของมากหนักอาชา
จึงบอกพระธิดาให้ทิ้งไป

นางทิ้งฆ้องทองคำตามคำสั่ง
เพื่อเบาหลังเจ้าสามตามขานไข
เจ้าสามเบาเข้าจริงก็วิ่งไว
ค่อยห่างไกลการล่าของนาคี

..........<มีต่อ>

6/10/54

ไม่มีความคิดเห็น: