วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๔ โดย.พี่กิตติธร



ตอนที่ ๔

อาศัยแสงเดือนสว่างส่องทางเดิน
ออกเผชิญอันตรายไม่หน่ายหนี
หวังแต่พบดวงหน้าของสามี
แม้จะตีดุด่าไม่ว่าเลย

ระหกเหินซัดเซพเนจร
ใจอาวรณ์ช้ำฟกโอ้อกเอ๋ย
ไม่ได้เห็นแม้เงาเจ้าใบ้เลย
มันไม่เคยปราณีมีเยื่อใย

สามทิวาราตรีที่ถูกทิ้ง
แม่ยอดหญิงเคยครองความผ่องใส
มาบัดนี้ซูบซีดผิดไปไกล
เสื้อผ้าใส่วิ่นขาดอนาถตน

ทั้งปวดหิวหนาวเหน็บด้วยเจ็บไข้
อุตส่าห์ไปตามทางอย่างหวังผล
เหลือบเห็นต้นมะเดื่อใหญ่ในบันดล
ดีใจล้นรู้กินได้ไม่มีพิษ

จำได้จากสามีที่กินนำ
เจ้าจดจำขึ้นใจได้สนิท
เก็บลูกร่วงกินพอต่อชีวิต
บรรเทาพิษของไข้คลายหิวลง

ในราตรีเดือนแรมแซมดารา
หนาวกายาแต่ใจไม่ลืมหลง
ตั้งสติกำหนดไว้ให้มั่นคง
แล้วอนงค์ถอนใจฤทัยตรม

นางหมดสิ้นความคิดติดตามผัว
ไร้หวาดกลัวแต่เจ็บแค้นแสนขื่นขม
จึงยกมือขึ้นประชุมพุ่มพนม
ตั้งจิตข่มนิ่งเย็นเป็นพิธี

อธิษฐานเทพไท้เป็นพยาน
อยู่ลำธารพำนักมีศักดิ์ศรี
อยู่ต้นไม้ดินฟ้าบรรดามี
อยู่วิมานสุขีที่ใดใด

ในชาตินี้ข้าน้อยเฝ้าคอยตาม
เจ้าผัวทรามข้ารักมันผลักไส
ทั้งทอดทิ้งชอกช้ำระกำใจ
แม้เกิดชาติใดใดที่มีจริง

ขอให้ผัวกลับจิตมาคิดรัก
หลงใหลข้ายิ่งนำดุจยักษ์สิง
เฝ้าติดตามลืมหลังหวังแอบอิง
แล้วมาตายยังกิ่งอุทุมพร

อนึ่งขอพรานไพรใจฉกรรจ์
เป็นมิ่งขวัญเคียงคู่อนุสรณ์
ได้ครองรักคู่กันไม่สั่นคลอน
ตามบั่นทอนผัวร้ายที่ใจดำ

อธิษฐานเสร็จลงไม่ปลงจิต
หมกมุ่นคิดดวงแดแม่งามขำ
ทุกข์เทวษวิปโยคโศกครอบงำ
นางชอกช้ำจนดาวดิ้นสิ้นชีวี

เจ้าคำหอมขาดใจในพนา
ตำนานมาแต่หลังเป็นดังนี้
เป็นเรื่องเก่าเล่าขานมานานปี
กว่าจะมีเมืองล่มก็นมนาน

☼.....กาลเวลาล่วงไปไม่ผกผัน
ต่างดับขันธ์ไม่อยู่คงตามสงสาร
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายล้วนวายปราณ
ในวัฏฏะสงสารที่ผันวน

ต่างสร้างบาปสร้างบุญหนุนชีวิต
กรรมตามติดต่อไปตามให้ผล
เมื่อกรรมชั่วที่ทำตามมาดล
แม้เป็นคนก็ทุกข์ไร้สุขใจ

แม้กรรมดีทำไว้ไม่หายสูญ
คอยเกื้อกูลตามสนองให้ผ่องใส
เมื่อกำเนิดเกิดมีในที่ใด
ชีวิตไซร้ย่อมสุขทุกคืนวัน

แต่ต่างคนต่างใจให้สรรสร้าง
ทำบุญบ้างบาปก็ทำไปตามฉันท์
เมื่อบุญบาปให้ผลบันดลพลัน
สุขก็มีทุกข์ก็ดันเปลี่ยนผันแนว

คนทั้งสามผูกจิตอดีตชาติ
เป็นบุพเพสันนิวาสไม่คลาดแคล้ว
กรรมเคยทำตามตลอดไม่จอดแจว
จึงไม่แคล้วได้ประสบมาพบพาน

ในกาลนั้นยังมีชติตา
นคราเลิศล้ำตามคำขาน
บ้างเรียกเอกะทีตามานมนาน
คนโบราณเรียกแผกแตกต่างคำ

บ้างก็เรียกชทิตามหานคร
เกียรติขจรชูเชิดว่าเลิศล้ำ
ประชาชนอยู่ดีมีงานทำ
คนคลาคล่ำทั่วไปในธานี

อยู่ในยุคขอมเฟื่องเรืองอำนาจ
เอกราชยิ่งใหญ่ในแดนนี้
เจ้าครองเมืองเรืองเดชเขตธานี
ประชาชีทูลเกล้าเจ้าพระยา

ศรีเชียงเชิดจอมเมืองผู้เรืองเดช
ครองอาเขตราษฎร์รักเป็นนักหนา
มเหสีทรงนามนางจามปา
ให้กำเนิดธิดาโสภาองค์

เป็นคำหอมกำเนิดมาเกิดใหม่
ทรงวิไลนุ่มนวลชวนลุ่มหลง
นามไอ่คำอินทร์ถวิลปิ่นเผ่าพงศ์
ปิตุรงค์รักหวงดั่งดวงตา

มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งน้ำผึ้ง
งามประหนึ่งนางสวรรค์บนชั้นฟ้า
เลื่องระบือลือไปไตรโลกา
ทั้งมนุษย์เทวานาคาครุฑ

ต่างอยากยลโฉมพิไลนางไอ่คำ
ที่งามล้ำเหนือใครในมนุษย์
เจ้าพระยาธานีไม่มีบุตร
มีนงนุชบุตรีนี้เพียงองค์

ทรงทะนุทรงถนอมทรงกล่อมเลี้ยง
ระวังเพียงไข่ในหินจินต์ประสงค์
จัดสร้างวังส่วนตัวรั้วมั่นคง
จัดปลูกดงพฤกษานานาพันธ์

มวลมาลีชูดอกออกดาษดื่น
หอมระรื่นรอบรั้วทั่วเขตขัณฑ์
สารพัดบุษบาวิลาวัณย์
ชื่อวังนั้นการะเกดเขตบุรี

อันน้ำหอมหากปิดสนิทมั่น
ยังกักกันกลิ่นได้ไม่ไหลหนี
แต่ความงามธิดาเจ้าธานี
แม้จักมีวังส่วนตัวกลัวแพร่งพราย

แต่ไม่อาจปิดไว้ได้นานทน
ประชาชนยังระบือเลื่องลือหลาย
ความวิไลไอ่คำจึงกำจาย
บรรดาชายต่างใฝ่เห็นเป็นบุญตา

กล่าวถึงพรานใจกล้าก็มาเกิด
ถือกำเนิดองอาจวาสนา
ได้ดำรงวงศ์กษัตริย์ขัตติยา
พระฉายาผาแดงท้าวเจ้าไผท

ได้ครองเมืองผาโพงอันทรงศรี
ตั้งอยู่ที่ลุ่มน้ำโขงน่าหลงใหล
ยังไม่มีชายามาคู่ใจ
พระทรงไชยเอกองค์ทรงรูปงาม

กระแสเสียงร่ำลือชื่อไอ่คำ
ที่งามล้ำลือไปในโลกสาม
ถึงผาโพงแผ่กระจายขยายความ
ว่านงรามงามล้ำสุดจำนรรจ์

ด้วยบุพเพกตาแต่คราโน้น
ดุจดั่งโดนมนต์เสน่ห์เล่ห์สวรรค์
ท้าวผาแดงยินคำร่ำลือกัน
พระองค์พลันซึมเซ่อจิตเหม่อลอย

เคยเกรียงไกรลือนามสนามรบ
กลับมาซบซึมเซื่องนั่งเงื่องหงอย
ละเมอหาไอ่คำพร่ำเลื่อนลอย
เจ้าเนื้อกลอยจะสะคราญสักปานใด

จะขอยลวงพักตร์เพียงสักนิด
ให้ดวงจิตหม่นหมองพลันผ่องใส
กษัตริย์หนุ่มรุ่มร้อนดุจฟอนไฟ
สุมดวงใจเร่าร้อนถอนฤดี

<มีต่อ>

ไม่มีความคิดเห็น: