แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปรัชญาธรรมชาติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปรัชญาธรรมชาติ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

~ ธารน้ำแห่งขุนเขา ~





ธารน้ำแห่งขุนเขา.

เสียดยอดทอดเลื้อยเป็นหลั่นหลั่น
ขรึมขลังดั่งสวรรค์ ชั้นแมนสรวง
เป็นต้นฝนพงไพรแมกไม้ม่วง
เป็นช่วงช่วง ชั้นจดลดหลั่นมา

เหมยหมอกเมฆฟ่องละอองหนาว
ย้อยพาดหยาดพราวมนต์...รดภูผา
พรูพรมห่มพื้นพสุธา
ต้นไม้โยกใบหญ้าระบัดใบ


ยืนหยัดทัดทอดยอดตระหง่าน
ยืนยงคงกาลมิหวั่นไหว
ตระหง่านยอดทอดยาวเหนือราวไพร
สงบในแข็งแกร่งเอื้อแสงดาว
ธารรินเลาะเลื้อยอยู่เฉื่อยฉ่ำ
สูง-ต่ำ ฉ่ำเสียงอยู่เคียงเหย้า
ขุนเขาทอดท่าม อยู่งามเงา
ทึบ ทึบ เทา เทา เป็นเงางาม


กรุ่นหอมในอารมณ์ชื่นชมเช้า
ทยอยความหงอยเหงาเพื่อก้าวข้าม
ปลดพันธะทุกพันธะแห่งโมงยาม
ในนามแห่งคีรีถึงค่าตรึงอารมณ์


ลมสะพัดพฤกษ์ไพรไหวเริงร่า
มากหมายค่าโอบอ้อมมาห้อมห่ม
ผ่านห้วงที่ร้าวรวดปวดระบม
ผ่านช่วงที่ขื่นขมตรมฤดี

หยัดยอด ทอดเลี้อย เรื่อยเคี้ยวคด
หมดจดเพริศพราย ให้คลายคลี่
เป็นสง่าคู่ดินฟ้ามานานปี
เป็นมิ่งศรีแห่งภูผาสง่างาม

yortawan.

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

*ต่อกลอนธรรม...กับ..พี่ชาย*

พี่กิตติธร.
ไม่ได้เข้ามาหลายวันแล้วสิ...แก่เสนาะ
กาลเวลามันไหลผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน...
...พี่เห็นดอกไม้ตูมที่ค่อยผลิบาน....
...กลีบขยายแผ่ออก...
แล้วก็...ค่อยเหี่ยวเฉาเป็นสีคล้ำไป...
...แม้นั่นก็ไม่คงอยู่....
...มันร่วงหล่นลงไปสู่พื้น....
...เมื่อพี่คอยแวะเวียนมาดู...
..มันถูกน้ำบ้าง...แดดบ้าง....
.ก็เปลี่ยนสภาพไปอีก....

.....พี่มองเห็นเศษดินที่เล็กน้อย...
มันบ่งบอกว่ามันก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของพืช...
....มันไม่ใช่ดิน...
..แต่ก็กำลังจะกลายเป็นดิน..
หรือ..มันอาจจะเคยเป็นดินมาก่อนพืช?
..กลีบแห้งนี้...ไม่นานก็จะเป็นเช่นนั้น..

.....พี่ไหลผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน...
เปลี่ยนร่างแล้วๆร่างเล่าๆ....
...แม้ร่างนี้ก็ผ่านวัยมามิใช่น้อย...
..ประตูมิติแห่งภพอยู่ตรงหน้า...
ไม่นานหรอกพี่ก็จะไหลผ่านมันไป....
...น้องพี่...ชีวิตนี้ไม่เที่ยง....
..เมื่อเราต้องไหลผ่านวันเวลา...
..จงจับหางเสือไว้ให้มั่นคง....
เป้าหมายอยู่ตรงโน้น....
เดินต่อไปนะ...ไปตรงที่พระบรมศาสดา
.....ได้บอกไว้นั่นแหล่ะ...
..น้องรัก...เส้นทางนี้เดินได้คนเดียว...
...จงพอใจในความโดดเดี่ยว...
.....แล้วเราจะพบกัน..
.........รัก.......
...จาก...พี่ชาย...

ตะวัน

โอ้โฮ  สาธุๆๆค่ะ
***หลีกไม่ได้-หนีไม่พ้น
*เกิดแก่เจ็บตายหนีไปไหนไม่พ้น
หญิงชายทุกคนไม่พ้นความตาย

**นี่คือ สัจธรรม

*ร่างกายเรารวมแล้วเรียกว่าขันธ์
ธาตุสี่นั้นปรุงตามนามสังขาร
รวมรูปเวทนาสัญญาวิญญาณ
ประกอบการนามสมมุติสู่จุดจริง

*จุดจริงคือ..จุดที่ไม่มีจุด
ล้วนสมมุติเกิดดับสรรพสิ่ง
อย่าประมาทหันเหประเวประวิง
จงรู้ยิ่งรู้ความจริงทุกสิ่งครบ

*ชีวิตย่อมมีพรากตายจากได้
ชีวิตใครหนีไม่พ้น ผลคือศพ
มัจจุราชหมายมั่นวันต้องพบ
ชีวิตจบชีวิตปลิดร่างลง

*ปลิดร่างลงเหลืออะไรให้โลกรู้
จักเหลืออยู่แต่ชั่วดีที่เสริมส่ง
ถ้าทำดี ดีจักหนุนสกุลวงศ์
แม้ป่นผงกระดูกไปไม่เสียดาย

พี่กิติธร.

*จึงไม่มีสิ่งใดตั้งไว้เที่ยง
มีค่าเพียงมั่นคงตรงสลาย
ยืนหยัดตรงอนัตตาอย่างท้าทาย
ชนทั้งหลายมองไม่เห็นอย่างเป็นจริง

*มองเห็นเพียงอัตตาว่าไปทั่ว
คิดหลงมั่วหวังได้ไปทุกสิ่ง
วาดความหวังว่ามีที่แอบอิง
จึงกลับยิ่งมืดมนพาตนจม

*เพียงฝึกจิตคิดเห็นเป็นความว่าง
มองทุกอย่างเป็นจริงสิ่งผสม
เพียงธาตุแต่งขึ้นมาน่านิยม
แค่ลมลมจับไม่ได้ไร้ตัวตน

*เมื่อเห็นจริงวางได้ไม่เศร้าโศก
ก็แค่โลกเต้นอวดตาไม่น่าสน
มองให้ผ่านพ้นร่างอย่างแยบยล
น้องจะพ้นอาลัยในอารมณ์.

ตะวัน

*สงบฟังตั้งใจกายในจิต
เหมือนนิมิตสนิทในใจผสม
สติเกิดกำเนิดจิตพิศภิรมย์
สะเทือนข่มสดับไหวในภวังค์

*เหมือนเสียงพิณที่รินไหลจากใจจิต
เหมือนดนตรีแห่งชีวิตลิขิตฝั่ง
เหมือนทำนองของกาละขณะฟัง
เหมือนเสียงดังแห่งความเงียบเลียบริมใจ

*ค้นพบแล้วแว่วธรรมโน้มนำคิด
ค้นพบแล้วเข็มทิศนิมิตใหม่
ค้นพบแล้วทางเอกอันอำไพ
ค้นพบแล้วดอกไม้ในกองทุกข์

*เพียงแวะฟังคำสั่งลมพรมใบไม้
เพียงสักเสี้ยวเลี้ยวไปไกลสวนสุข
เพียงมุ่งสู่สวนสงบหลบภัยยุค
เสียงความสุขซุกอยู่ในหัวใจงามฯ


พี่กิติธร.

*หนึ่งพิศเห็นสกนธ์กายสลายทั่ว
หมดทั้งตัวหาใช่มีที่วาบหวาม
เพียงฉาบทาด้วยหนังตั้งกลกาม
ให้กิเลสรุกลามครอบงำใจ

*สองพินิจเวทนาอุราสุข
บ้างก็ทุกข์ไม่เที่ยงแท้แน่ไฉน
เพียงแค่สิ่งเกิดตั้งอยู่ครู่ดับไป
เพียงเข้าใจก็จักวางไม่ค้างคา

*สามดูจิตเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว
บ้างดั่งแก้วเจียระไนให้ศึกษา
บางครั้งขุ่นเป็นโคลนยลจิตตา
แต่ไร้ค่าให้ยึดถือว่าคือ "ตน"

*สี่เพ่งพิจารณาหาต้นเหตุ
ที่กิเลสส่งมาให้น่าสน
ว่าทั้งมวลที่แท้แค่เกมกล
ว่าใจตนยึดอารมณ์เพาะบ่มเอง

*เพียงใส่ใจสี่อย่างไม่ว่างจิต
เพียงแค่คิดมั่นคงเดินตรงเผง
เพียงมุ่งไปไม่เพลินเดินทำเพลง
เพียงก้าวเร่งสู่มัคค์จักพ้นภัย.

ตะวัน.

*ตัวปัญญาดอกนะจะสะสาง
ชำระล้างบาปหลุดบริสุทธิ์ใส
มลทินบาปคาบคุมเข้าสุมใจ
ใช้อะไรล้างเล่าจะเบาบาง

*เอาปัญญาเปรียบเป็นเช่นสบู่
มาฟอกถูใจบาปที่สาบสาง
กิเลสลดหดหายกระจายจาง
จิตใจว่างมลทินสิ้นธุลี

*ปล่อยวางชีวิตอันว้าวุ่น
ผู้ทำบุญด้วยศรัทธาและหน้าที่
แปลงทรัพย์เป็นบุญบารมี
เว้นวรรคทุกชีวีทุกวี่วัน

*เราก็อยู่มาจนถึงวันสุดท้าย
ไม่ด่วนตายไปก่อนชีพผ่อนผัน
เหลือเวลาทำความดีหนุนชีวัน
ก่อนพลัดพรากจากกันนิรันดร

พี่กิติธร.
*รีบเสริมสร้างปัญญาให้กล้าแกร่ง
สติแรงเป็นเหตุกิเลสถอน
วิริยามั่นคงฝ่าดงดอน
แต่จะร้อนรนไปก็ไม่ดี
*ไปเรื่อยเรื่อยพอเร่งเร่งเปล่งขยัน
เข้าประจันดื้อไว้ไม่ถอยหนี
ไม่ต้องสู้บุกฝ่าเข้าราวี
ไม่ต้องหนีทำไปด้วยใจวาง
*เพราะถ้าสู้มีแน่แพ้ชนะ
ซึ่งอาจจะแพ้ก็ได้หากไปขวาง
เราชนะจะฮึกเหิมเพิ่มใยยาง
ถ้าแพ้ทางก็ท้อฝ่อจิตใจ
*ถ้าเราหนีมีแพ้แต่เท่านั้น
ถ้าประจันเดินหน้ากล้าแก้ไข
ไม่ทั้งสู้ไม่ทั้งหนีจักมีชัย
เป็นทางไร้ความแพ้ที่แน่จริง
*ไม่หนีด้วยและไม่สู้แต่รู้ชัด
ทำตามตรัสคงไว้ด้วยใจสิงห์
มุ่งบำเพ็ญบุญญาอย่าประวิง
จักพบยิ่งกำชัยไว้เต็มมือ.

*paer-aksorn & kittithon*


วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

งามธรรมชาติ..




๐เช้าวันใหม่สุดกลิ่นไอหมอสีขาว
น้ำค้างพราวเคล้ายอดหญ้าพาหนาวเย็น
ชมไม้ป่าพฤกษาเราได้เห็น
ดอกไหวเอนสวยสพรั่งยังพริ้งพราย

๐น้ำค้างปริวริ้วผ่านเหมือนม่านฝน
คืนฟ้าหม่นเห็นแสงดาวพุ่งเป็นสาย
ในค่ำคืนดาวพุ่งตกดูเรียงราย
มุ่งเป็นสายแสงส่องงามยามได้ชม

๐แสงแดดส่องยามเช้าความหนาวคลาย
ไออุ่นหายป่าขุนเขาเราสุขสม
มองพฤกษาดอกไม้ป่าน่าดอมดม
ให้สุขสมชมไม้งามในยามเช้า

๐พอตอนสายตะวันแดงแสงแรงกล้า
แสงเจิดจ้าส่องสาดผ่านลานเขา
หยาดกลิ่นไอน้ำค้างใต้ร่มเงา
ทั่วป่าเขาเราแสนสุขทุกวันคืน ฯ

* paer-aksorn *

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

~รักในธรรม~ กับ ~พี่กิตติธร~



ผู้หญิงไร้เงา.

คงเพราะฟ้ากำหนดเรื่องของเรา
ฉันถึงไม่อาจคาดเดาอะไรได้
ฟ้าส่งเธอมาพบฉันแล้วจากไป
โดยไม่ทันให้หัวใจได้พูดกัน
เหลือก็เพียงความคิดถึงที่มีอยู่
เธอจะรู้หรือเปล่าว่ารักนั้น
ยังคิดถึงตามหาเธอทุกวัน
ที่สำคัญ...หากจากกัน ยังภูมิใจได้รักเธอ.....

พี่กิตติธร.
ฟ้ามิได้กำหนดจดจำดอก
พระองค์บอกเรื่องกรรมนำเสนอ
การกระทำนำพบประสบเจอ
รักล้นเอ่อหรือเกลียดกันนั้นสร้างเอง
คนจะรักภักดิ์ใจเพราะใกล้ชิด
สนมสนิทเกลียวกลมไม่ข่มเหง
ในชาตินี้ปัจจุบันนั้นแลเล็ง
มิได้เบ่งหน้ายักษาเข้าหากัน
ส่วนอีกอย่างที่ให้รักสลักล้ำ
เคยกระทำบุญร่วมมาก่อนอาสัญ
ทั้งสมัครผูกใจในปางบรรพ์
ด้วยเหตุนั้นจึงรับประทับทรวง
เหตุทั้งสองให้ครองปองใจรัก
คนจึงมักว่าเนื้อคู่ผู้แหนหวง
แต่ที่จริงมิแน่ไปในทั้งปวง
พอกาลล่วงที่ว่าแน่ก็แปรไป
จึงไม่ควรผูกพันให้มั่นจิต
เพราะชีวิตหยุดลงตรงตักษัย
ที่เคยมีก็จักหมดสลดใจ
ปล่อยวางได้ใจสุขทุกเวลา
รู้ว่ารักน้องพี่บริสุทธิ์
มิได้ยุดยื้ออยู่คู่หรรษา
พี่จึงรักรับขวัญกัลยา
ไร้กามามิได้หวังมานั่งเคียง
ให้เจ้ารู้รักพี่ว่านี่น้อง
อยากให้ปองความสงบลบสุ้มเสียง
กำลังใจให้เธอเสนอเพียง
เป็นเสบียงก้าวย่างบนทางธรรม
ทางนี้แท้รักจริงที่ทิ้งทุกข์
อุดมสุขทางนี้พี่ขอย้ำ
พระศาสดาเป็นตัวอย่างเดินทางนำ
เลิศล้ำมาเถิดประเสริฐจริง.


ตะวัน.
อุตสาห์เวียนวนว่ายหลายภพชาติ
เพื่อถักร้อยบ่วงบาศก์ผูกสรรพสิ่ง
เหลือเพียงตัวแหละหัวใจให้พักพิง
เพื่อได้สิงสู่สวรรค์อนันตกาล
แม้จะได้เรียนธรรมนำประจักษ์
แต่ใจรักไม่ฉลาดและอาจหาญ
สู่หนห้วงสรวงทิพย์แห่งนิพพาน
โพธิญาณหวังเน้นหนักขอตักตวง
คงจักวนเวียนว่ายหลายหมื่นภพ
กว่าประสบสุขสันต์อันใหญ่หลวง
ตราบเท่าที่สรรพสัตว์ระบัดปวง
ยังไม่ล่วงสู่สัมโมโพธิญาณ
ยังขอวนเวียนว่ายทางสายโลก
เพื่อดับโศกดับทุกข์สร้างสุขสานติ์
แก่ปวงเทพสัตว์มนุษย์สุดห้วงกาล
เติมตำนานตราบสามโลกยังโศกตรม.

พี่กิตติธร.
ด้วยความรักซาบซึ้งบึ้งสถิต
จงลิขิตวันหวานดับซ่านขม
ตราบนิรันดร์เชยชิดสนิทชม
ความระทมเพียงผงจงอย่ามี
แม้ตะวันยังเลื่อนเคลื่อนสู่ฟ้า
แม้ธารายังไหลไม่เหือดหนี
แม้อากาศยังอยู่คู่ธรณี
จักขอมีรักซึ้งถึงดวงใจ.

ตะวัน.

ฟังพี่สรรค์เสกขานมาน่าปลื้มจิต
ทางลิขิตที่วาดไว้สะอาดใส
มีความรักถักรออย่างสุขใจ
แม้มิคลายจักไม่ลืมซึ่งผูกพัน
เป็นรักสวยงดงามตามตกแต่ง
มีเพียงแรงกำลังใจส่งจอมขวัญ
เพียงเท่านี้ก็สุขใจตราบนิรันดร์
แม้แค่เพียงเสกสรรค์มิหวั่นใด.

พี่กิตติธร.
ทุกสิ่งเกิดมีได้ด้วยใจสร้าง
กำหนดวางอุดมการณ์ไม่หวั่นไหว
ต่างคนต่างเดินสู่ รู้ใจ
วาดหวังไว้จุดพบสบตะวัน
แม้มรรคาอาจล้ำข้ามภพชาติ
จักหมายมาตรพบนวลชวนสร้างฝัน
แม้วันนี้เพียงคิดสนิทกัน
จักรอวันสรรสร้างทางคู่เดิน.

ตะวัน.

เมื่อรักคือแหล่งเกิดกำเนิดโลก
จึงก่อโศกสุขได้ไม่ขัดเขิน
รักที่ถักทอสายกลายกาลเกิน
จึงได้เดินเที่ยวเห็นโลกงามตามที่เป็น
รักไร้ธรรมนำทางต่างไม่รู้
ยามรักอยู่ดูเศร้าเหงาไม่เห็น
เหมือนตาบอดคลำไอยราท่ารำเค็ญ
กว่ารู้เช่นคงช้ำใจไม่เข้าที
รักเมื่อมีหลักธรรมมานำจิต
ให้รู้พิษโทษภัยในวิถี
ถักทางทองรินถ้อยร้อยวจี
เพื่อเป็นพลีแด่รักหวานในธารธรรม





พี่กิตติธร.

เมื่อมีธรรมนำรักประจักษ์ชัด
ปฏิบัติเดินไปไม่ถลำ
ประคองจิตมั่นคงจงจดจำ
เพื่อรู้ยิ่งตามคำพระสัมมา

รักคือเมตตาธรรมงามหทัย
มานผ่องใสยวดยิ่งอหิงสา
พร้อมการุณย์บรรลุมุทิตา
อุเบกขาดำรงมั่นคงดี

จึงเป็นรักที่แท้กว่าแม่รัก
มิต้องฟักฟูมตัวกลัวขวัญหนี
บริสุทธิ์จริงแท้แน่วจี
รักเช่นนี้คือพุทธวิสุทธิ์ธรรมฯ



~ paer-aksorn~&~ พี่กิตติธร ~

 *ขอขอบพระคุณพี่ชายค่ะ*