วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๙ โดยพี่ กิตติธร


.....แต่กองทัพนาคน้ำต่างกำหนด
ไม่ละลดล่าอนงค์ผู้ทรงศรี
นางจึงถอดธำมรงค์วงมณี
ในทันทีขว้างปาไม่อาวรณ์

นาคยังคงเกลียวกรูอยู่เช่นเดิม
กำลังเสริมไล่ล่าหน้าสลอน
พสุธาม้าเหยียบเป็นดินดอน
พลันสั่นคลอนลุ่มล่มจมเป็นคลอง

เหยียบตรงไหนได้ล่มถล่มพลัน
นาคโรมรันไล่ล่าม้าผยอง
เจ้าสามวิ่งวนเวียนเพียรตริตรอง
เพื่อหาช่องทางไปให้รวดเร็ว

แต่วิ่งวางทางไหนก็ไม่พ้น
นาคดั้นด้นพันตูทำคูเหว
แผ่นดินจมถล่มร่องเป็นปล่องเปลว
ม้ายังเร็วโลดร่างออกห่างทัน

ผาแดงเห็นนางยังครองกลองชัยศรี
คู่ธานีชทิตามหาขัณฑ์
จึงรีบบอกองค์หญิงโยนทิ้งพลัน
อย่าให้มันหนักม้าอาชาไนย

นางโยนทิ้งทันทีที่ได้ยิน
ไม่ถวิลอาวรณ์ในตอนไหน
แม้เป็นของคู่เมืองเรืองไผท
ไม่หวังได้ยินดีเท่าชีวิต

นางหวาดกลัวตัวสั่นขวัญผวา
กอดรัดผาแดงแน่นไม่แค่นคิด
นาคยังคงตามมากระชั้นชิด
สามชีวิตจดจ่อมรณา

มุ่งเป้าหมายเบื้องหน้าผาสูงชัน
ขึ้นบนนั้นจักรอดปลอดภัยหนา
อยู่ไม่ไกลแล้วหนอต่อสายตา
กัลยาสะอึกอื้นสุดฝืนทน

ผาแดงหันเหลือบจ้องมองคืนหลัง
เห็นดินพังเป็นรางทางสถล
น้ำกระฉอกระลอกคลื่นพื้นวังวน
เชี่ยวสายชลพุ่งปราดประหลาดตาม

ม้าล้มลุกคลุกคลานทะยานกาย
หวิดเกือบตายหลายแล้วเจ้าแก้วสาม
อีกอึดใจจักพ้นทุกข์ที่ลุกลาม
อนิจจาเจ้าสามล้มคว่ำไป

ล้มตัวพาดขวางลำรีบจ้ำลุก
แสนเป็นทุกข์เจ็บเนื้อเหลือไฉน
จังหวะนั้นนาคีพลันมีชัย
ตวัดได้ไอ่นางร่างกระเด็น

อาชางามผาดโผนกระโจนกาย
รีบปีนป่ายขึ้นผาที่ตาเห็น
ผาแดงนั่งหลังม้าน้ำตากระเซ็น
ด้วยหันเห็นไอ่คำตกน้ำไป

เห็นยอดหญิงกลิ้งร่างตกหลังม้า
เอื้อมมือคว้าไม่ทันจิตสั่นไหว
น้ำวนหมุนดูดกายหายวับไป
แล้วทันใดทุกอย่างจืดจางพลัน

ที่เสียงลั่นสนั่นก้องทั่วท้องฟ้า
ทั้งเมฆาคล้ำหมุนอย่างหุนหัน
พระพายพัดฤทธิ์แรงแข่งประชัน
ธรณีนั้นยุบแยกแตกเป็นคลอง

ในบันดลกลับกลายมลายสิ้น
ดังแผ่นดินฟ้าไหนไม่เคยหมอง
ฟ้ากระจ่างแจ่มตาดูน่ามอง
ตะวันส่องทั่วหล้าพนาธาร

☼.....หลงเหลือซากให้ดูเป็นคูคลอง
อีกทั้งหนองหานเห็นเป็นหลักฐาน
เมื่อคืนวันผันเปลี่ยนจำเนียรกาล
ยังหลักฐานให้มีที่รำลึก

ตรงที่นางทิ้งฆ้องทองคำไป
บัดนี้ได้เป็นห้วยช่วยให้นึก
เรียกว่าห้วยน้ำฆ้องคลองไม่ลึก
ให้ได้ตรึกเรื่องเล่าแต่เก่ามา

บ้านน้ำฆ้องตั้งลงที่ตรงนั้น
ให้รู้กันจำไว้ได้ศึกษา
ส่วนตรงที่ธำมรงค์วงโสภา
พระธิดาขว้างลงตรงแผ่นดิน

เกิดกลับกลายให้เห็นเป็นหนองน้ำ
ให้จดจำเรื่องราวเจ้าโฉมฉิน
ชื่อหนองแหวนฝากไว้ให้โลกยิน
ว่าแผ่นดินถิ่นนี้มีตำนาน

ส่วนตรงที่ทิ้งไปกลองชัยศรี
กลับกลายมีลำห้วยช่วยสืบสาน
เรียกลำห้วยกลองศรีชี้ตำนาน
ทั้งหมู่บ้านก็มีใกล้ที่กลอง

ชื่อบ้านห้วยกลองศรีในที่นั้น
ชื่อเดียวกันกับห้วยด้วยทั้งสอง
ส่วนตรงที่อาชาตัวน่ามอง
เคยผยองกลับพลาดล้มฟาดลง

มาบัดนี้มีน้ำเป็นลำคลอง
ไหลลงหนองหานไปไม่ลืมหลง
ชื่อว่าห้วยสามพาดไหลลาดลง
ยังอยู่คงชี้ชัดปัจจุบัน

ส่วนหน้าผาสูงชันตรงนั้นหรือ
บัดนี้คือภูผาแดงดูแข็งขัน
อยู่เทือกเขาภูพานปัจจุบัน
เป็นเขตกั้นอุดรนครดี

กับหนองบัวลำภูคู่จังหวัด
เป็นเขตขัดขวางเมืองที่เรืองศรี
ทั้งเป็นแหล่งสายชลต้นน้ำดี
ห้วยสามพาดก็ไหลรี่จากนี้ไป

☼.....เมื่อนั้น.. ผาแดงผู้แรงฤทธิ์
กรรมลิขิตพ่ายแพ้สุดแก้ไข
เสียไอ่คำอินทร์ถวิลดั่งสิ้นใจ
แปลบหัวใจไห้ร้องก้องดินแดน

เมื่อท้าวเสียยอดหญิงยิ่งชีวิต
จึงได้คิดเบียนเบียดด้วยเคียดแค้น
หวังตามล่านาคินทร์ทุกถิ่นแดน
แม้เมืองแมนจะล่าตามฆ่ามัน

กลับถึงเมืองเรืองยศกำหนดสั่ง
ทุกเวียงวังน้อยใหญ่ในเขตขัณฑ์
จัดกองทัพเต็มอัตราอย่านานวัน
เตรียมไล่ล่าฆ่าฟันให้บรรลัย

ยกพหลโยธากรีธาทัพ
อักโขนับเดินกันสนั่นไหว
กองทัพช้างทัพม้าอาชาไนย
พลรถพลันครรไลไปตามทาง

พลราบนับหมื่นคนด้นเดินเท้า
ขบวนก้าวย่างไปไม่แรมร้าง
ต่างผูกสอดธนูดาบอาบยายาง
หน้าไม้กางโล่หอกไร้ปลอกคลุม

ผืนธงชัยพรึบพัดสะบัดใบ
จะชิงชัยนาคาพาลงหลุม
เสียงกลองชัยตามหลังดังตังตุม
ให้เกาะกลุ่มเคลื่อนคล่องคะนองพล

ดงสะท้านดินสะเทือนเมื่อเคลื่อนทัพ
สุ้มสดับโห่ร้องก้องสถล
ฝุ่นกระจายเป็นควันในบันดล
ท้าวผาแดงแต่งตนไปบนกรี

☼.....ฝ่ายสุทโธราชาเจ้าบาดาล
เมื่อเผาผลาญถล่มเมืองที่เรืองศรี
มิได้ยกกองทัพกลับธานี
ยึดวารีหนองหานน่านน้ำนอง

ครั้นผาแดงมาถึงบึงหนองหาน
ท้าวส่งสาส์นท้ายุทธ์สุทโธผยอง
ถ้าไม่อยากทำศึกจงตรึกตรอง
รีบส่งน้องไอ่คำมากำนัล

จะรอรับนางไอ่อยู่ใกล้หนอง
ไม่ขัดข้องเคืองใจเมื่อได้ขวัญ
หากแม้นไม่คืนมาก็ฆ่ากัน
จะประจัญพันธุ์เผ่าเจ้ามลาย

ศรีสุทโธได้อ่านสาส์นท้าจบ
เลือดนักรบพุ่งพล่านซ่านเป็นสาย
แสนโทโสโมหันจนสั่นกาย
ประกาศลายนาคารับท้ารบ

..........<มีต่อ>

6/10/54

ไม่มีความคิดเห็น: