วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานรักผาแดง - นางไอ่ ตอนที่ ๑๔ โดย.พี่กิตติธร


ตอนที่ ๑๔


.....กูจะฆ่ากระรอกดงให้จงได้
จงรีบไปตามล่าอย่าให้หลง
กูจะตามไล่ล่าทุกป่าดง
กูจะปลงให้ม้วยด้วยมือกู

☼.....ส่วนขบวนนาคแปลงจำแลงร่าง
ถึงเวิ้งว้างทุ่งหญ้าสุดตาหู
เป็นทุ่งใหญ่กว้างไกลไร้คันคู
ให้หดหู่ด้วยไม่มีที่กำบัง

เลยพากันแปลงร่างเป็นอย่างงู
เพื่อเคียงคู่รอบข้างระวังหลัง
อยู่รายล้อมกระรอกน้อยคอยระวัง
ด้วยใจตั้งป้องภัยให้นายตน

ฝ่ายภังคีเห็นดีที่เป็นงู
เพราะครูดถูไปง่ายดีมีเหตุผล
เป็นกระรอกไปยากลำบากตน
ตามถนนทุ่งร้างต้องร่างเดิม

จึงแปลงเป็นงูใหญ่ในบัดเดี๋ยว
ร่างปราดเปรียวคักคึกดูฮึกเหิม
สีเผือกผ่องยองใยในกายเดิม
ได้พูนเพิ่มพลังเจ้าภังคี

พื้นที่ราบเรียบร้างกว้างใหญ่นัก
มิหยุดพักที่ใดในครานี้
บริวารล้อมหน้าหลังของภังคี
ต่างเลื้อยรี่เร็วไวในทุ่งร้าง

ฝ่ายนายพรานเจ็บใจไม่ย่นย่อ
เห็นหญ้ากอลาญแหลกดุจแถกถาง
เป็นรอยเลื้อยถูไถไปเป็นทาง
พอคิดพลางก็เห็นเป็นอัศจรรย์

ว่ากระรอกตัวนี้หรือคืออะไร
ให้แปลกใจในจิตคิดอาถรรพ์
เทวายักษ์นาคงูหรือสุบรรณ
อัศจรรย์ผิดแผกแปลกธรรมดา

ก่อนนี้เห็นปักษีบินวี่ว่อน
แต่มาตอนนี้ไซร้ไร้ปักษา
เห็นแต่รอยงูลื่นดาษดื่นตา
แหวกกอหญ้าทุ่งร้างเป็นทางไป

ไม่ว่าเป็นสิ่งใดไฉนนั่น
จะจับมันเพื่อปลงความสงสัย
ถึงตอนนี้พรานกงตกลงใจ
ต้องตามรอยงูไปคงได้ตัว

แต่สภาพทุ่งร้างเวิ้งว้างร้อน
ต่างเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าพาเวียนหัว
อิดโรยร่างย่างมาขาพันพัว
ใจระรัวอ่อนระทวยด้วยแดดแรง

เคยขึงขันเตรียมธนูดุจสู้ศึก
สิ้นความคึกดุจตะวันอันอ่อนแสง
แบกคอนสายธนูสู้ผ่อนแรง
บ้างเดินแกว่งหน้าไม้ไปตามทาง

บ้างคอนสายธนูมาพร้อมหน้าไม้
แสนอ่อนเพลียละเหี่ยใจในทุ่งร้าง
ปัจจุบันถิ่นนี้มีหนทาง
ไม่เวิ้งว้างเงียบเหงาดั่งเก่ามา

เป็นหมู่บ้านคอนสายคนหลายหลาก
ตำนานฝากเอาไว้ให้ศึกษา
แต่เดิมหรือชื่อบ้านคอนสายหน้า
ครั้นต่อมาผิดเพี้ยนเปลี่ยนคำเดิม

เหลือแต่เพียงคอนสายฝากให้รู้
ว่าตามงูเหนื่อยใจไร้ฮึกเหิม
ตามเรื่องราวแต่หลังเมื่อครั้งเดิม
ครั้งได้เริ่มเรื่องราวตามเล่ามา

ในที่สุดกงพรานชำนาญไพร
ติดตามรอยมาใกล้ผู้ไร้ขา
ประชิดกับฝูงงูผู้นาคา
ประจันหน้าสู้กันในทันที

ลูกสมุนพรานกงปลงชีวิต
ฆ่างูพิษตกตายกลายเป็นผี
บางคนถูกรัดกินสิ้นชีวี
ไม่อาจหนีได้ทันก็พลันตาย

ฝ่ายฝูงงูก็มีสิ้นชีวิต
ด้วยแรงฤทธิ์ของคนที่ขวนขวาย
ระดมยิงธนูพรูเต็มกาย
จนวอดวายดาวดิ้นสิ้นชีวัน

ต่างฝ่ายเข้าขันต่อไม่ท้อถอย
ฝ่ายงูตายไม่น้อยพลอยเสียขวัญ
จึงบอกพวกให้หนีสุดชีวัน
รีบบุกบั่นหนีไปในบันดล

ที่มนุษย์กับงูต่อสู้กัน
ปัจจุบันประชาชีมีมากล้น
ชื่อหมู่บ้านพังงูคู่ตำบล
ไม่สับสนตำบลบ้านขนานนาม

ทางที่งูหนีนั้นตะวันตก
ไปด้วยอกว่องไวแม้ไหน่หนาม
รีบหลบหนีเลื้อยไปดุจไฟลาม
พรานทั้งหลายก็ตามด้วยความแค้น

เมื่อสมุนมาตายไปหลายคน
ดั่งกมลถูกเชือดเดือดเหลือแสน
ติดตามถึงป่าละเมาะเลาะเขตแดน
ภังคีแจ้นมุ่งหน้าเข้าป่าไป

นาคบางตัวแปลงกายาเป็นกานก
เพื่อเหินหกขึ้นฟ้าดูท่าไหน
มองหาที่กำบังระวังไว
ทั้งดูเส้นทางให้เจ้านายตน

เจ้าภังคีหลบซ่อนถอนอุระ
ไม่รู้จะทำไฉนให้เห็นหน
ให้รอดตายพลัดพรากจากพวกคน
ให้สับสนหวั่นกลัวระรัวกาย

ถึงตรงนี้ฟ้าคล้ำใกล้ค่ำแล้ว
ฝูงนกแจวหนีคนดุจขวนขวาย
ฝ่ายพรานกงคงเห็นเป็นอุบาย
แต่ไม่วายให้ลูกน้องลองติดตาม

แต่ส่วนใหญ่ให้ล้อมป่าละเมาะ
เฝ้าลัดเลาะระวังดีไม่ผลีผลาม
ฝ่ายนกกาเห็นส่วนใหญ่ไม่ติดตาม
มีเพียงสามพรานไพรไล่ตามตน

จึงกลับมาคอยเฝ้ารอบเจ้านาย
ที่เร่าร้อนซ่อนกายอยู่หลายหน
เมื่อเห็นว่าพรานกงไม่หลงกล
จึงต้องวนกลับมาหาภังคี

เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำมืดมิด
นาคาคิดซุกซบพักหลบหนี
ด้วยสุดแสนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยกายี
เจ้าภังคีได้ที่ซ่อนก็นอนพลัน

ฝ่ายพรานกงสั่งคนให้วนล้อม
พ่อพรานขอมระวังอย่างแข็งขัน
ด้วยมั่นใจกระรอกขาวเจ้านายมัน
อยู่ในนั้นแน่แท้พ่อแน่ใจ

ด้วยทั้งคนทั้งนาคลำบากกาย
พอถึงท้ายราตรีที่สดใส
ต่างง่วงเหงาหาวนอนอ่อนพับไป
จบอุไรแสงทองของอีกวัน

ป่าละเมาะที่ซ่อนกายเจ้าชายนาค
เคยลำบากซุกซ่อนเดือดร้อนขวัญ
กาลเวลาเปลี่ยนผัดปัจจุบัน
แผ่นดินนั้นเป็นชุมชนคนมากมี

ชื่อว่าบ้านพังซ่อนไม่ย้อนยอก
ไม่ปลิ้นปลอกลวงเล่นดั่งเป็นผี
คนบ้านนั้นเขาว่าหน้าตาดี
นาคภังคีเคยซ่อนพักผ่อนกาย

☼.....ใกล้อรุณแสงสุวรรณพรรณราย
นาคทั้งหลายตื่นพลันไม่ทันสาย
รีบย่องเงียบเลียบลุกปลุกเจ้านาย
ก่อนที่สายแสงทองจะส่องดิน

แจ้งสัญญาณอุบายบอกนายหนี
บอกเสร็จแล้วปักษีรี่โผผิน
ตะวันตกตรงไปให้คนยิน
เสียงนกบินมุ่งออกนอกละเมาะ

ฝ่ายพรานกงพิศดูรู้กลสัตว์
คิดแน่ชัดจึงยิ้มกระหยิ่มเยาะ
เรียกสมุนตามไปให้พอเหมาะ
ค่อยย่างเหยาะตามทันกระชั้นชิด

..........<มีต่อ>

ไม่มีความคิดเห็น: